Tuesday 12 July 2011

สายพันธุ์ปลาแรด

ปลาแรด เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ของไทยชนิดหนึ่ง จำพวกเดียวกับปลากระดี่และปลาสลิด แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ปลาแรดมีเนื้อมาก แน่น นุ่ม ไม่ค่อยมีก้าง รสชาติดี เป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปลาแรดสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ย่าง ทอด เจี๋ยน ต้มยำ แกงเผ็ด น้ำยา ฯลฯ หรือนำมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงามก็ได้ ปลาแรดเลี้ยงง่ายเช่นเดียวกับปลาสลิด แต่ราคาค่อนข้างสูง มีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมและโรคได้เป็นอย่างดี

ในปัจจุบันมีปลาแรดสายพันธุ์ต่างๆ ให้เลือกซื้อไปเลี้ยง ทุกพันธุ์มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันหมด แต่ผิดแผกแตกต่างกันไปตามรายละเอียดอื่นๆ เช่น สีสัน และอวัยวะพิเศษบางอย่าง

ปลาแรดดำ
1. ปลาแรดธรรมดา หรือแรดดำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Osphronemus goramy
ก็คือ ปลาแรดธรรมดา หรือที่เรียกกันว่า "แรดดำ" นั่นเอง จัดเป็นแรดพื้นเมืองของไทยชนิดหนึ่ง มีสีไม่สวยนัก แต่ก็เด่นที่ราคาถูก (และเนื้ออร่อย)

ปลาแรดเผือก
2. ปลาแรดเผือก ชื่อวิทยาศาสตร์ Osphronemus goramy Albino, Silvery
จัดออกเป็น 2 สายพันธุ์ คือแรดเผือกตาดำ และแรดเผือกตาแดง ปลาแรดเผือกตาดำนั้นมีสีขาวนวลอมชมพู ไม่มีลายบนลำตัว ลักษณะค่อนข้างเพรียวยาวกว่าแรดเผือกตาแดง ซึ่งเป็นการผ่าเหล่ามาจากปลาแรดดำ โดยยังจะมีลายบนลำตัวให้เห็นจางๆ และมีลำตัวกว้างป้อมกว่า สีสันออกขาวสว่างกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ปลาแรดเขี้ยว
3. ปลาแรดเขี้ยว ชื่อวิทยาศาสตร์ Osphronemus exodon
เป็นปลาแรดที่มีถิ่นอาศัยในแม่น้ำโขง ลักษณะภายนอกคล้ายกับปลาแรดดำทั่วไป แต่มีฟันรูปเขี้ยวที่ริมฝีปากนอก ในขณะที่ปลาแรดชนิดอื่นก็มีฟันในแบบเดียวกัน แต่อาจเล็กกว่าและอยู่เข้าไปด้านในของริมฝีปาก ทำให้มองเห็นไม่ชัดเท่า ปลาแรดเขี้ยวจัดเป็นปลาแรดหายาก ฉะนั้น จึงมีราคาสูงกว่าปลาแรดดำหรือปลาแรดเผือกทั้งที่ตัวมันเองก็ไม่ได้สวยมากไปกว่า

ปลาแรดแดง
4. ปลาแรดแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Osphronemus laticlavius
ปลาแรดแดง มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย เป็นปลาแรดที่มีสีสันสวยงามมาก โดยเฉพาะในปลาตัวผู้ที่โตเต็มวัย สีพื้นลำตัวด้านบนจะเข้มดำ ในขณะที่ทางด้านล่างจะสีอ่อนกว่า ครีบทุกครีบมีสีส้มแดง เช่นเดียวกับข้างแก้มและส่วนหัว บางตัวออกสีแดงจัด ขึ้นอยู่กับสภาพและวิธีการเลี้ยง ปลาแรดแดงเป็นปลาแรดที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาปลาแรดด้วยกัน โตเต็มที่เพียง 50 เซนติเมตร เท่านั้น จัดเป็นปลาแรดที่มีราคาแพงที่สุด

No comments: