Wednesday, 3 November 2010

การเลี้ยงปลาทะเล

ปัจจัยในการเลี้ยงปลาทะเล
1. การปูพื้น
สิ่งที่จะนำมาปูพื้นนั้นมีได้หลายอย่างเช่น เศษปะการัง ซึ่งมีความละเอียดแตกต่างกันไปที่นิยมได้แก่เศษปะการังเบอร์ 0 และที่นิยมอีกอย่างนึงคือทรายเป็น ซึ่งเป็นทรายละเอียดจากทะเลที่มีสิ่งมีชีวิตเล็กๆอาศัยอยู่ ซึ่งบางทีเราอาจใช้ทรายละเอียดธรรมดาปูก็ได้ ซึ่งภายหลังจะมีสิ่งมีชีวิตจาก หินเป็น ไปอาศัยอยู่และกลายเป็น ทรายเป็น ในที่สุด ซึ่งปกติแล้วเราจะปูทรายค่อนข้างหนา ( โดยเฉลี่ย 4 นิ้ว ) เนื่องจากต้องการให้บริเวณล่างๆของพื้นทรายนั้นเป็นส่วนที่ไม่มีอ๊อกซิเจนและจะเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียชนิดที่ไม่ใช้อ๊อกซิเจน ซึ่งจะมีประโยชน์ในระบบการย่อยสลายของเสียภายในตู้ ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป สำหรับข้อเสียบางอย่าง
ที่เกิดขึ้นคือ จะเกิดคราบดำๆที่ทรายเมื่อตู้มีอายุ ซึ่งจะทำให้ดูไม่สวยงาม



การเลี้ยงปลาทะเล
2. การลงปลาและสิ่งมีชีวิต
หลังจากที่เราเซตตู้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการลงปลา ซึ่งสำหรับการลงปลานั้น เราไม่ควรที่จะลงปลาทีละมากๆ เนื่องจากระบบยังรองรับของเสียได้ไม่ทัน ดังนั้นเราจึงต้องค่อยๆลงปลาทีละ 1-2 ตัวเท่านั้น เพื่อที่แบคทีเรียจะได้สามารถกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นได้ทันและแบคทีเรียจะทำการเพิ่มปรืมาณมากขึ้น ซึ่งระยะห่างในการลงปลาแต่ละครั้งควรจะเว้นไว้อย่างน้อย 1-2 อาทิตย์ สำหรับปลาบางชนิดจะสามารถเลี้ยงได้ในตู้ที่มีอายุนานแล้วเท่านั้น ( 3-6 เดือน ) เช่นปลาตระกูลแทงค์ เนื่องจากปลาเหล่านี้เป็นปลาที่ขับถ่ายของเสียปริมาณมาก จึงจำเป็นต้องเลี้ยงภายในตู้ที่ค่อนข้างเสถียรแล้วสำหรับขั้นตอนการลงปลา ไม่ใช่เพียงซื้อปลามาแล้วเทจากถุงใส่ตู้ทันที เนื่องจากปลาอาจเกิดการช๊อคน้ำได้ และอาจตายได้ในเวลาต่อมา เราจึงต้องทำการปรับอุณหภูมิและปรับความเค็มก่อน ซึ่งการปรับอุณหภูมิทำได้โดยการลอยถุงปลาไว้ที่ผิวน้ำในตู้ก่อนปล่อยลงตู้เป็นเวลา20-60 นาที ส่วนการปรับความเค็มนั้นทำได้โดยการค่อยๆผสมน้ำในตู้ของเรากับน้ำที่มาจากร้าน ซึ่งอาจจะทำในภาชนะอื่นก็ได้และจะเป็นการปรับอุณหภูมิไปด้วยภายในตัว สำหรับตู้ที่ทำการเลี้ยงสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอาจต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของน้ำที่มากับร้าน เนื่องจากน้ำจากบางร้านอาจจะไม่มีคุณภาพหรืออาจใส่ยาที่เป็นอันตรายต่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังภายในตู้ของเรา และเพื่อลดความเครียดของปลาอาจปล่อยปลาในขณะที่ปิดไฟตู้และยังไม่ต้องให้อาหาร เนื่องจากปลายังต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม

No comments: