tag:blogger.com,1999:blog-31553507786669950712024-02-07T07:51:55.288-08:00คนรักปลา I love fishแหล่งรวมความรู้เกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงปลา ปลาน้ำจืด ปลาทะเล ปลาสวยงาม ปลาตู้ ปลาหมอสี ปลาทอง ปลามังกร ปลาหางนกยูง สายพันธุ์ปลาสวยงามต่างๆ การจัดตู้ปลาทะเล การเพาะพันธุ์ปลาและการดูแลรักษาเวลาปลาป่วยpurinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.comBlogger164125tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-36843372222530946532011-10-08T08:39:00.000-07:002011-10-08T08:39:52.563-07:00จัดตู้ปลาตามฮวงจุ้ย เสริมดวงให้ร่ำรวยตามความเชื่อของชาวจีน หมายถึง ศาสตร์ของการจัดที่อยู่อาศัย ที่อาศัยความสัมพันธ์ของธาตุทั้งสี่ นั่นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เชื่อกันว่าหากจัดบ้านให้ถูกต้องตามโฉลกแล้ว จะช่วยเสริมส่งให้เจ้าของบ้านเจริญรุ่งเรือง มีเงินทองไหลมาเทมา ปราศจากพลังร้ายทั้งปวง นอกจากการจัดวางสิ่งของทั่วไปภายในบ้านแล้ว สิ่งหนึ่งที่บ้าน และบริษัทต่าง ๆ นิยมใช้เพื่อตกแต่ง และผ่อนคลายสายตา ก็คือ ตู้ปลา หรือบ่อเลี้ยงปลานั่นเอง<br />
การจัดตู้ปลาให้ถูกหลักฮวงจุ้ย เชื่อว่าจะช่วยดึงดูดเงินเข้าบ้าน ให้ผู้อยู่อาศัยเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยยิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งมีหลักง่ายๆ ดังนี้<br />
<br />
1. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">รูปร่างของตู้ปลา</span></b><br />
- ลักษณะของตู้ปลาที่ดี ควรเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมยาว เป็นธาตุไม้ เชื่อว่าจะส่งเสริมให้เจ้าของบ้านเจริญก้าวหน้า เพราะน้ำจะช่วยให้ไม้เติบโต หรือว่าจะเลือกเป็นทรงกลมก็เป็นมงคลเช่นกัน เพราะทรงกลมจัดว่าเป็นธาตุน้ำ จะช่วยเสริมส่งพลังน้ำด้วยกันให้ดียิ่งขึ้น<br />
<br />
- ถ้าเป็นบ่อปลา หรือสระน้ำ ต้องมีลักษณะของโค้งมน ไม่มีเหลี่ยม หรือมุมแหลม ซึ่งมีลักษณะที่เป็นภัยกับเจ้าของบ้าน<br />
<br />
2. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การจัดวาง</span></b><br />
- ตำแหน่งของตู้ปลา บ่อปลา หรือสระน้ำ ก็มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน ควรจัดวางให้ตู้ปลา อยู่ในทิศที่ถูกกับธาตุน้ำ เช่น ทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตามหลัก ฮวงจุ้ย ธาตุที่ประจำอยู่ตามทิศต่างๆ มีดังนี้<br />
<br />
- ธาตุน้ำ ประจำอยู่ทิศเหนือ<br />
- ธาตุดิน ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้<br />
- ธาตุไม้ ประจำอยู่ทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้<br />
- ธาตุไฟ ประจำอยู่ทิศใต้<br />
- ธาตุทอง ประจำอยู่ทิศตะวันตก และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ<br />
<br />
นอกจากจะตั้งตู้ปลาให้ถูกตามทิศแล้ว ถ้าเป็นทิศที่มีประตูใหญ่อยู่ด้วย จะถือว่าเป็นมงคลมาก เพราะประตูใหญ่นั้นเป็นจุดที่กระตุ้นการไหลเวียนของโชคลาภ ให้เงินทองไหลมาไม่ขาดสาย<br />
<br />
ถ้าที่อยู่อาศัย หรือที่ทำงานตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่งพอดี สามารถแก้ได้ด้วยการนำน้ำพุมาตั้งไว้บริเวณนั้น เพื่อลดความชั่วร้ายต่าง ๆ ที่จะเข้ามา ให้กระจายเป็นพลังที่ดี<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiweMvV3tdJvvelOtT4XBKEE9Z3sjk_jlrei2QcU6kTCDqkOrqIxoaVIKH8oPuiRklDtNcMam2-Jl5RU0BRpQu96E5fkUebgz8IL9ZB_RxyPybgjfMm54Zfp6OLPEpwiV3jPT94YfwStww/s1600/%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AE%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B8%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A2.bmp" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="214" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiweMvV3tdJvvelOtT4XBKEE9Z3sjk_jlrei2QcU6kTCDqkOrqIxoaVIKH8oPuiRklDtNcMam2-Jl5RU0BRpQu96E5fkUebgz8IL9ZB_RxyPybgjfMm54Zfp6OLPEpwiV3jPT94YfwStww/s320/%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AE%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B8%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A2.bmp" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">จัดตู้ปลาตามฮวงจุ้ย</span></b></td></tr>
</tbody></table>3. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ลักษณะที่ดีของตู้ปลา</span></b><br />
- ตู้ปลา หรือบ่อเลี้ยงปลา ควรมีการไหลเวียนของน้ำ ให้น้ำเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ย หมายถึง ลักษณะของเงินที่หมุนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ<br />
<br />
- น้ำที่ใช้เลี้ยงปลา ควรจะใส สะอาด มองเห็นตัวปลา มองแล้วรู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจ<br />
<br />
4. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">เลี้ยงปลาอะไรดี</span></b><br />
- ปลาที่นิยมเลี้ยงกัน และถือว่าจะนำพาความร่ำรวย โชคดี และความเจริญต่างๆ มาให้ ได้แก่ ปลาเงินปลาทอง ปลาคาร์ฟ และปลาอะโรวาน่า หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปลามังกรนั่นเอง<br />
<br />
- เมื่อเลือกชนิดของปลาที่จะเลี้ยงแล้ว ก็ควรเลือกปลาตัวที่มีลักษณะดีด้วย นั่นคือ ควรดูลักษณะการว่ายของปลา ไม่เลือกปลาที่ว่ายหัวทิ่ม นอกจากนี้ ควรพิจารณาสีสัน และรูปทรงของปลา ให้ดูแล้วสง่างามด้วย<br />
<br />
- จำนวนของปลาที่นิยมเลี้ยง คือ 1, 4 หรือ 9 ตัว ซึ่งถือว่าเป็นเลขมงคล จะเลือกเลี้ยงจำนวนเท่าใดก็ควรคำนึงถึงขนาดของตู้ปลา และธรรมชาติของปลาชนิดนั้นๆ ว่าชอบอยู่เดี่ยวๆ หรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-87466527472862963722011-10-03T01:55:00.000-07:002011-10-03T01:55:10.397-07:00ความสำคัญของเกลือต่อตู้ปลาสวยงามเกลือ สำหรับเลี้ยงปลาที่เรา ๆ ใช้กันอยู่นั้น เรียกว่า เกลือเม็ด หรือเกลือทะเล ไม่ใช่เกลือปรุงอาหารที่เติมแต่งองค์ประกอบอื่น ๆ ลงไป เช่น ไอโอดีน หากแต่เป็นเกลือที่ได้จากธรรมชาติล้วน ๆ สามารถละลายน้ำได้ง่าย ไม่ทำให้ค่า pH ในน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงและไม่ทำปฏิกิริยากับยาบางชนิดเหมือนเกลือปรุงรส เกลืออาจไม่ถูกกับยาปฏิชีวนะบางชนิด ซึ่งจะทำให้ฤทธิ์ยาเสื่อมเร็ว เพราะฉะนั้นเวลาใส่ยาไม่ควรใส่เกลือ จะใส่เกลือเวลาปฐมพยาบาลปลาขั้นแรกเท่านั้น ถ้ายังไม่ดีขึ้นค่อยใส่ยาตามสาเหตุของโรคนั้น ๆ<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwE7mvZyABvmwitqqb6fcUKVYyVmkGN-hkIavRyr9i1ladRj4mpkGXe4sO1iYSXRYYRUjBA267UVu1pJ2oceDu_ObsUSfPowuouV9Xgl1J5atyZfOaEt6RQa4gu0RYPgqAPvoAsqg2cl8/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwE7mvZyABvmwitqqb6fcUKVYyVmkGN-hkIavRyr9i1ladRj4mpkGXe4sO1iYSXRYYRUjBA267UVu1pJ2oceDu_ObsUSfPowuouV9Xgl1J5atyZfOaEt6RQa4gu0RYPgqAPvoAsqg2cl8/s320/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD.jpg" width="251" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ประโยชน์ของเกลือใส่ตู้ปลา</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ประโยชน์ของเกลือ</span></b><br />
เกลือ จัดว่าเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามในการเลี้ยงปลาได้เช่นกัน ประโยชน์ของมันมีมากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะการป้องกันโรคและปรสิตในปลา เสริมสร้างภูมิต้านทาาน และอีกมากมาย เช่น<br />
<br />
1. เกลือจะไม่ส่งผลต่ออุปกรณ์การกรอง เช่น วัสดุหรือหินกรองต่าง ๆ และไม่เป็นอันตรายต่อจุลินทรีย์ในระบบกรองชีวภาพ<br />
<br />
2. หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายอุปกรณ์ปลาสวยงามทั่วไป รวมทั้งราคาก็ถูกอีกด้วย<br />
<br />
3. ไม่เป็นอันตรายต่อปลาเกือบทุกชนิด เพราะไม่ไปซ้ำเติมสภาพปลาที่ป่วยให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น<br />
<br />
4. สามารถกำจัดปรสิตได้อย่างรวดเร็วถึง 7 : 9 ส่วน ในภาชนะที่เลี้ยง<br />
<br />
5. สามารถควบคุมปริมาณพิษของไนเตรทฉับพลันในน้ำ โดยประจุที่ได้จากเกลือจะซึมผ่านตัวปลาป้องกันไม่ให้ไนเตรทส่งผลต่อเม็ดเลือดแดงที่ทำให้ปลาฟอกออกซิเจนได้น้อยลง<br />
<br />
6. สามารถลดภาวะเครียดในปลาได้เป็นอย่างดี<br />
<br />
7. เพิ่มพลังงานและภูมิต้านทานต่อโรคต่าง ๆ<br />
<br />
8. ใช้ในการกักโรคปลา<br />
<br />
9. กระตุ้นการขัยเมือกของปลาเพื่อป้องกันตัวปลาจากปรสิตและเชื้อโรคต่าง ๆ เพราะในเมือกปลามีสารฆ่าเชื้อผสมอยู่<br />
<br />
10. ช่วยยืดอายุหินซีโอไลท์ในระบบกรองได้ยาวนานขึ้น โดยทำให้หินซีโอไลท์คายแอมโมเนียออกมา<br />
<br />
11. ประสิทธิภาพของเกลือจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อโดนแสงแดด หรือสารอินทรีย์ในน้ำ ทำให้สามารถคงประสิทธิภาพได้นาน<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-22751360422211417632011-09-28T10:41:00.000-07:002011-09-28T10:41:00.051-07:00ปลากัดยักษ์เหตุผลสำคัญที่ทำให้คนไทยหันมา<b>เลี้ยงปลากัด</b>เป็นปลาสวยงามกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายไม่ต้องให้ออกซิเจน ใช้เนื้อที่น้อยและที่สำคัญเป็นปลาที่มีศักยภาพในการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีสีสันที่หลากหลายไปได้เรื่อย ๆ “ปลากัด” จัดเป็นปลาพื้นเมืองของบ้านเรา พบการแพร่กระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศจะอาศัยบริเวณผิวน้ำ ไม่ว่าจะเป็นหนอง, บึง, แอ่งน้ำ,ลำคลอง ฯลฯ สำหรับต่างประเทศจะพบในประเทศมาเลเซีย, พม่า, ลาว, กัมพูชา และจีน เป็นต้น <br />
<br />
สำหรับคนไทยแล้วปลากัดถือเป็นกีฬาตามวิถีชาวบ้านที่ได้รับความนิยมทั่วประเทศ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคมของทุกปี คนในพื้นที่ภาคใต้เรื่อยไปจนถึงประเทศมาเลเซียจะนิยมเล่นปลากัดมากกว่าพื้นที่อื่น<br />
<br />
วันนี้มีการพัฒนาสายพันธุ์<b>ปลากัดยักษ์</b>จนมีขนาดใหญ่อย่างเห็นได้ชัด จนได้สายพันธุ์ปลากัดยักษ์ที่นิ่งจริง ๆ อีก ทั้งยังมีสีสันสวยงามมากกว่าเดิม ปลากัดยักษ์ในยุคแรก ๆ เฉดสีออกมาในลักษณะของปลากัดหม้อธรรมดาปนกันระหว่างสีเขียว น้ำเงินและแดง ซึ่งเป็นสีพื้นฐานของปลากัดหม้อธรรมดาทั่วไป เดี๋ยวนี้เริ่มมีปลากัดยักษ์สีเดียวสวยสด แม้ว่าสีอาจจะยังไม่สวยเท่ากับปลากัดหม้อสีเดียวก็ตาม ภูมิประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้มีแหล่งอาหาร แหล่งน้ำ สภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของปลากัด ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้สามารถพัฒนาสายพันธุ์ปลากัดยักษ์ให้มีลักษณะที่ดีขึ้นไปอีก ปลากัดไทยสร้างความคึกคักในตลาดปลากัดทั้งในและต่างประเทศ ประเทศไทยเป็นตลาดที่ส่งออกปลากัดสวยงามที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาแล้ว จุดนี้ทำให้เราสามารถเพิ่มมูลค่าปลากัดได้ ยังเป็นการนำรายได้เข้าสู่ประเทศไม่น้อยเลยทีเดียว<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpsjhnTuo39Su8QQt8Z7_aiw-jD1c22q2qoTI5qTLekVq-FwM-5GW2iZdSFTfKM6czi6oFspR8akW-9p7RzUIMZ4oia_smV7qQuLDsrdAuk5p18ukuX-hTvZTTYHZJJuAnax9GTCom_AE/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B9%258C.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="203" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpsjhnTuo39Su8QQt8Z7_aiw-jD1c22q2qoTI5qTLekVq-FwM-5GW2iZdSFTfKM6czi6oFspR8akW-9p7RzUIMZ4oia_smV7qQuLDsrdAuk5p18ukuX-hTvZTTYHZJJuAnax9GTCom_AE/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B9%258C.jpg" width="260" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากัดยักษ์</span></b></td></tr>
</tbody></table>การพัฒนาสายพันธุ์ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีสายพันธุ์และสีใหม่ ๆ มากมาย ร่วมมือกันพัฒนาสายพันธุ์ มีการแลกสายพันธุ์การพัฒนา เพื่อช่วยกันพัฒนาสายพันธุ์ปลาให้มีความสวยงามและแปลกใหม่ยิ่งขึ้น มีปลาใหม่ออกสู่ตลาดเสมอ ผู้ซื้อมีปลาให้เลือกหลากหลายตามความชอบ และการเลือกซื้อปลากัดยักษ์ นั้น ต้องมีความรู้พื้นฐาน มีวิธีการดูลักษณะปลาเบื้องต้น มิเช่นนั้นจะได้ปลากัดยักษ์เทียมมาเลี้ยงก็เป็นได้<br />
<br />
เริ่มต้นกันที่ ลักษณะตัวปลา ปลากัดธรรมดาขนาดใหญ่ที่ขุนด้วยอาหารเม็ด จะมีลักษณะลำตัวออกหนาทางด้านกว้างไม่ได้สัดส่วนเมื่อมองด้านข้าง มองจากด้านบน ความกว้างของลำตัวจะแบนไม่สวย เปรียบเทียบกับปลากัดยักษ์แท้ จะมีลักษณะที่ใหญ่และได้รูปสมสัดส่วน คอจะมีลักษณะหนา ลำตัวโค้งมนตามลักษณะสัดส่วนและลาดต่ำไปถึงหางตามลักษณะของปลากัดทั่วไป ข้อหาง ครีบ กระโดง ชายน้ำ จะมีขนาดใหญ่สมดุลกับตัวปลา<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjiYWgazA3GZfproWWfc9Cx4zo_FYFZxcp3G6xSjhk6LToRYUU_N2cZP1EnxYkeM_JzUS9webc6qJwNYO9UIOtZnUHMz6hVUNULj2m3Gzk0O8fwEtFjAQulXLgJIoiyR4_1Ahw8IgcT9ZM/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B9%258C1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="241" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjiYWgazA3GZfproWWfc9Cx4zo_FYFZxcp3G6xSjhk6LToRYUU_N2cZP1EnxYkeM_JzUS9webc6qJwNYO9UIOtZnUHMz6hVUNULj2m3Gzk0O8fwEtFjAQulXLgJIoiyR4_1Ahw8IgcT9ZM/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B9%258C1.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากัดยักษ์</span></b></td></tr>
</tbody></table>พฤติกรรมและสุขภาพปลา ปลากัดยักษ์ที่อายุน้อยประมาณ 4 เดือน ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อเปิดให้ปลาพองใส่กัน ปลาจะมีความปราดเปรียวและคึกคัก บ่งบอกถึงสุขภาพปลาที่ดีและไม่เป็นโรค ผิดกับปลากัดขนาดปกติแต่มีขนาดใหญ่ที่มีอายุมากขึ้น ความคล่องแคล่ว ความปราดเปรียวจะไม่เท่าปลากัดอายุน้อย ซึ่งตรงนี้เป็นข้อสังเกตที่ชัดเจน<br />
<br />
ร้านขายปลา นับเป็นข้อที่สำคัญมากเลยทีเดียว นอกเหนือจากการสังเกตลักษณะภายนอกด้วยตัวเอง ความเชื่อใจและความซื่อสัตย์ของร้านเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราได้ปลาที่มีลักษณะ ที่ดีตรงตามความต้องการ<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-30062113307745826252011-09-26T01:20:00.000-07:002011-09-26T01:20:22.455-07:00ปลาหมอนกแก้ว<b>ปลาหมอนกแก้ว</b> (ชื่อวิทยาศาสตร์ Amphilophus citrinellum x Vieja synspila) เป็นพันธุ์ลูกผสมระหว่างปลาหมอฟลามิงโก้ และปลาหมอซินสไปลุ่ม มีปากคล้ายกับนกแก้ว กำเนิดในประเทศไต้หวัน ขนาดโตเต็มที่ 10 - 15 เซนติเมตร มีดวงตาโต ม่านตาใหญ่จนบางคราวดูไม่เหมือนทรงกลม เป็นวงรีหรือไม่ก็เป็นขีด ดำๆ หนาๆ พาด ผ่านตามแนวนอนของ ลูกตา ตู้ที่เหมาะสม ไม่ควรต่ำกว่า 30 นิ้ว เป็น ปลาที่ค่อนข้าง ก้าวร้าว อันที่จริง เป็นปลาที่ไม่ค่อยดุนัก และสามารถเลี้ยงรวมกับปลาอื่นที่ ขนาดเท่ากันได้ สามารถให้อาหารสำเร็จรูปและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหารได้<br />
เทคนิคการเลี้ยง<br />
<br />
การจัดตู้ปลานั้น เราควรใส่กรวดเล็กๆไว้ เพราะปลาหมอนกแก้วมีปากที่ใหญ่เหมาะกับการดูดก้อนกรวด มันจะขุดกรวดเล็กๆที่เราจัดไว้เป็นหลุม เป็นหลุมเพื่อคลายเครียด ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องจัดตู้ให้สวยมากนัก จัดเพียงแค่ สิ่งต่างๆที่มันขุดไม่ได้เท่านั้น เวลาว่างๆ เราควรจะเข้าไปดูใกล้ๆบ้าง เพราะช่วงแรกๆ มันจะขี้อายและกลัวคนมาก จนไปหลบอยู่หลังตู้บ่อยๆ แต่พอเราดูไปนานๆบ่อยๆมันจะเชื่องและชอบเข้าหาคน เวลาเดินผ่านมันจะตามมาทันที<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaprS1ddnIkOiRih45kxEkbjSguk6_FPy3wT4816ftv0h3QzFOwC5sfEnYMw4sOMbRFYi3g_8eD20sfEEwQIjUeChYdtBOcvnwFSXjG4mIVKpi1ChlB81dLevagUdeCKQ0X-MSzIc1I-E/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaprS1ddnIkOiRih45kxEkbjSguk6_FPy3wT4816ftv0h3QzFOwC5sfEnYMw4sOMbRFYi3g_8eD20sfEEwQIjUeChYdtBOcvnwFSXjG4mIVKpi1ChlB81dLevagUdeCKQ0X-MSzIc1I-E/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาหมอนกแก้ว</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การเพาะพันธุ์ ปลานกแก้ว</span></b> <br />
การสังเกตเพศของปลาหมอนกแก้ว ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่า ชายครีบยาวกว่า การเพาะพันธุ์ส่วนมากปลาหมอนกแก้วจะเป็นหมัน โดยเฉพาะตัวผู้อันเป็นผลมาจากการย้อมสีปลา ปลาจะจับคู่และวางไข่ติดกับก้อนหินแต่จะไม่ฟักเป็นตัวสำหรับปลาที่ไม่ย้อมสีจะสามารถให้ลูกได้ การจับคู่ผสมพันธุ์จะทำกันเองในตู้ เป็นปลาที่วางไข่ได้ง่ายและครั้งละปริมาณมากๆ ค่า pH ประมาณ 6.6-6.8 จะเหมาะแก่การฟักไข่ ถ้า pH สูงเกินไปจะทำให้ผิวของไข่เหนียวจนลูกปลาไม่สามารถเจาะทะลุออกมาได้และถ้าน้ำมี pH ต่ำเกินไปความเป็นกรดจะทำลายสเปิร์มของปลาตัวผู้ จนทำให้การปฏิสนธิ ลูกปลาฟักเป็นตัวใหม่ๆ ยังไม่กลมเหมือนพ่อแม่ ช่วงแรกปล่อยให้ครอบครัวดูแลตัวเองพ่อแม่ลูก จนลูกปลาว่ายน้ำและออกหากินเองได้ จึงค่อยแยกออกมาเลี้ยงต่างหาก ช่วงปลายังเล็กควรให้อาหารสด เช่น ไรแดง ใส้เดือนฝอยบ่อยๆแต่ไม่ควรให้ครั้งละมากเกินไป <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUg7sVIy1XICTFBf2nKjuwIgc7OBWPpMSv8d0jKobvkGa7sJ98BZxMLiNibaqoj0qAYpnbXG8_pRe0NnquL4Zr7csdoTcoINA92Ub41t430mI7VUlLtXQaLFQNdsldPKzkzKvq-rcu3MY/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A71.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUg7sVIy1XICTFBf2nKjuwIgc7OBWPpMSv8d0jKobvkGa7sJ98BZxMLiNibaqoj0qAYpnbXG8_pRe0NnquL4Zr7csdoTcoINA92Ub41t430mI7VUlLtXQaLFQNdsldPKzkzKvq-rcu3MY/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A71.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาหมอนกแก้ว</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">อาหาร ปลานกแก้ว</span></b><br />
อาหารของปลาหมอนกแก้วที่นิยมให้กันทั่วไปเป็นจำพวกอาหารเม็ด เพราะสะดวกการซื้อหาก็มีวางขายกันทั่วไป สิ่งที่ต้องระวังในการให้อาหารประเภทนี้คือ ต้องไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด หรือยาฆ่าแมลงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะจะเป็นอันตรายกับปลาที่คุณเลี้ยงได้ ปริมาณให้อาหารไม่ควรให้เกินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่มากจนเกินไป<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-21635527955106293712011-09-21T05:52:00.000-07:002011-09-21T05:52:34.481-07:00ปลาหางดาบในการเลือกซื้อปลามาเลี้ยงในตู้ ชนิดปลาที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด มีอยู่หลากหลาย มากมายกว่า 100 ชนิด ปลาแต่ละชนิดจะมีลักษณะนิสัยและการกินอาหารที่แตกต่างกัน ปลาบางชนิดมีนิสัยสุภาพ บางชนิดดุร้าย จึงควรศึกษาลักษณะของปลาก่อน ไม่ควรเลี้ยงปลาที่มีขนาดเล็กใหญ่ ต่างกันมากในตู้เดียวกัน เมื่อซื้อปลาควรเลือกปลาที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง ครีบต่างๆ จะต้องอยู่ครบไม่ขาด สีสันสดใส ว่ายน้ำปราดเปรียว ไม่หลบมุม และหัวไม่เชิดลอยน้ำ เช่น ปลาสอดแดงหางดาบ ซึ่งเป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว<br />
ปลาสอดแดงหางดาบ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Xiphophorus Hellrri เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย อดทนต่อทุกสภาวะแวดล้อม กินอาหารได้หลากหลาย เช่น อาหารเม็ด หนอนแดง ลูกไรแดง ไรทะเล ลูกน้ำ ถิ่นที่อยู่อาศัย เม็กซิโกตอนใต้ กัวเตมาลา ปลาในสกุลปลาสอดมีหลายชนิด เช่น ปลามอลลี่ ปลามิดไนท์ ปลามูนพิช ปลาเพลตี้ เป็นต้น <br />
<br />
<b>ลักษณะรูปร่าง</b> ลำตัวยาวเรียว แบนด้านข้างเล็กน้อย เกล็ดมีขนาดเล็ก มีความปราดเปรียวมาก สีสวยงามสะดุดตา ลักษณะเด่นคือ ปลายหางที่ยื่นยาวออกไป ปลาสอดตัวผู้จะมีลักษณะสีเข้มกว่าตัวเมียเล็กน้อย มีปลายหางยื่นยาวออกมาคล้ายดาบ ลำตัวเพรียวเล็กกว่า และมีอวัยวะสืบพันธุ์ที่เรียกว่า โกโนโปเดี้ยมอยู่ด้วย นิสัย ค่อนข้างก้าวร้าว ชอบอยู่ร่วมกันเป็นฝูงใหญ่ มักจะทะเลาะกันอยู่เสมอ ว่ายน้ำตลอดเวลา ปลาสอดเป็นปลาสวยงามที่น่าสนใจอีกชนิดหนึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเลี้ยงปลาไม่ค่อยมีเวลามากนัก เพราะปลาสอดแดง เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ราคาไม่แพง มีความทนทานดี สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นได้ ปลาสอดแดงสามารถปล่อยลงเลี้ยงเป็นฝูงในตู้กระจก ให้มีตัวเมียมากกว่าตัวผู้ โดยทั่วไปมีความยาวเฉลี่ย 14 cm<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9p_hOazyKg58CkUarzAcPeiRciVTivrnQlfhpNZ6w-jD5_8MyRW2WL0OBSJE3dBUjW0ycxWm36HPh1wFhyphenhyphenLmVbUuNDVEF_P-CTGfmNUSloP7UOdvP4cyzMUX_-lLcjdhcYLtDlSBWKJA/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259A.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9p_hOazyKg58CkUarzAcPeiRciVTivrnQlfhpNZ6w-jD5_8MyRW2WL0OBSJE3dBUjW0ycxWm36HPh1wFhyphenhyphenLmVbUuNDVEF_P-CTGfmNUSloP7UOdvP4cyzMUX_-lLcjdhcYLtDlSBWKJA/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259A.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาหางดาบ</span></b></td></tr>
</tbody></table>การเลือกชื่อสายพันธุ์ปลาสอด พิจารณาจาก ลักษณะสีและลวดลายบนลำตัว ตลอดจนสีและครีบ ชื่อสายพันธุ์จะเรียกตามลักษณะสีพื้นลำตัวก่อน ตามด้วยลวดลายบนลำตัว และลักษณะของครีบ เช่น Gold tuxedo swordtail สีของลำตัวเป็นสีทองครึ่งตัวด้านท้าย มีสีดำเหมือนเสื้อทักษิโด้ หรือ Red hifin swordtail สีพื้นลำตัวสีแดง ครีบกระโดงหลังสูง หรือ Brick red wagtail ปลาสอดชนิดนี้มีลำตัวสีแดงอิฐ หางมีลักษณะเป็นหางไหม้ (wagtail)<br />
<br />
การเลี้ยงปลาสวยงาม มีการพัฒนา ปรับปรุง อุปกรณ์ต่างๆให้ทันสมัยมากขึ้น ทำให้มีผู้สนใจเลี้ยงปลาสวยงามกันมากขึ้น ซึ่งมีทั้งที่เลี้ยงเป็นงานอดิเรกเพื่อความเพลิดเพลิน เลี้ยงเป็น อาชีพเสริมและเลี้ยงเป็นอาชีพหลัก ถึงแม้การเลี้ยงปลาสวยงามจะดูเป็นเรื่องง่าย แต่ผู้เลี้ยงหลายรายที่ประสบปัญหาปลาเกิดโรค และปลาตาย ทำให้เลิกเลี้ยง ผู้เลี้ยงควรจะต้องทราบหรือเข้าใจเพื่อป้องกันความผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-34041416148787459942011-09-19T18:41:00.000-07:002011-09-19T18:41:43.893-07:00ปลาลูโซโซ่ (lusosso)<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาลูโซโซ่ (lusosso)</span></b> มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกาโดยเฉพาะในลุ่มน้ำของประเทศคองโก (ปัจจุบันลุ่มน้ำแห่งนี้จัดเป็นระบบนิเวศป่าฝนขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก) หลายคนเข้าใจผิดว่าปลาลูโซโซ่มีถิ่นกำเนิดในลุ่มน้ำอเมซอน <br />
<br />
ปัจจุบัน <b>ปลาลูโซโซ่ </b>จำแนกได้ประมาณ 22 ชนิดในแหล่งน้ำธรรมชาติของไทยไม่เคยพบปลาลูโซโซ่เลยแม้แต่ชนิดเดียว ปลาลูโซโซ่จัดเป็นปลาน้ำจืดในธรรมชาติจะอาศัยอยู่กลางน้ำจนถึงพื้นท้องน้ำ มักพบเป็นฝูง ชอบสภาพน้ำไหลเอื่อย ๆ จัดเป็นปลาที่ว่ายน้ำได้เร็ว มีความแข็งแรงและกระโดดเก่งมาก ในธรรมชาติอุณหภูมิของน้ำที่อยู่อาศัยจะเฉลี่ยอยู่ที่ 22-26 องศาเซลเซียส มีค่า pH ของน้ำเฉลี่ย 6.5-7 สามารถนำมาเลี้ยงในตู้ปลาเป็นปลาสวยงามในบ้านเรา<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdNAXeZfp5AJ46iKN4olemOZ34fbTPyJLq0R6pf5y7Mfedy7No48rRooiYpZF5-qqetI17Ol_jjGF1UP5EdXc2h486qqiZW6fbsMLC2Zb3ICwP56HFidw-D5-8JVdaRRfCxoqwOxGHfyE/s1600/lusosso.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="222" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdNAXeZfp5AJ46iKN4olemOZ34fbTPyJLq0R6pf5y7Mfedy7No48rRooiYpZF5-qqetI17Ol_jjGF1UP5EdXc2h486qqiZW6fbsMLC2Zb3ICwP56HFidw-D5-8JVdaRRfCxoqwOxGHfyE/s320/lusosso.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาลูโซโซ่ (lusosso) </span></b></td></tr>
</tbody></table>คุณชวิน ตันพิทยคุปต์ ชาวกรุงเทพมหานคร มีประสบการณ์ในการเลี้ยงปลา ลูโซโซ่เป็นปลาสวยงามมานาน ได้บอกถึงลักษณะของ ปลาชนิดนี้เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีขนาดความยาวของลำตัว 45-50 เซนติเมตร ลำตัวมีสีน้ำตาลทองเป็นสีพื้น มีแถบบนลำตัว 7 แถบ มีสีดำลากบาง ๆ จากบนสู่ด้านล่างของข้างลำตัว ครีบต่าง ๆ จะมีสีแดงโดยเฉพาะที่หางจะมีสีแดงจัด ส่วนของหัวและจะงอยปากมีลักษณะเรียวยาว แหลมยื่นออกมาด้าน หน้าชัดเจน ช่องเปิดของปากมีขนาดเล็ก โดยปกติแล้วปลาลูโซโซ่จัดเป็นปลาที่รักความสงบ แต่จะมีความดุร้ายซ่อนอยู่ลึกภายใน อาหารส่วนใหญ่จะกินพืชน้ำต่าง ๆ เป็นหลัก ส่วนใหญ่เป็นพืชน้ำใบอ่อน จัดเป็นปลากินพืช นอกจากนั้น ยังกินพวกตัวอ่อนแมลง น้ำ หนอนไส้เดือนน้ำ และสัตว์น้ำขนาดเล็ก ๆ ได้<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTXAaJnQWr9aIZWvJXBDPW1ZiBUAbpQYX7437N1CRTQmVfXZnZpQIkMsEa87FQ-O8sIo7YkHMoujX_9CnorkarXGNtUqAgPHwI79wnUmBaN_OBMbiUqo-EUndjl9FqHlXRiX3hRapOMck/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%258B%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%258B%25E0%25B9%2588.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="194" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTXAaJnQWr9aIZWvJXBDPW1ZiBUAbpQYX7437N1CRTQmVfXZnZpQIkMsEa87FQ-O8sIo7YkHMoujX_9CnorkarXGNtUqAgPHwI79wnUmBaN_OBMbiUqo-EUndjl9FqHlXRiX3hRapOMck/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%258B%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%258B%25E0%25B9%2588.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาลูโซโซ่ (lusosso)</span></b> </td></tr>
</tbody></table>คุณชวินแนะนำการเลี้ยงปลาลูโซโซ่ในตู้ปลา การจัดตู้อาจจะใช้ขอนไม้ใหญ่ ๆ หรือก้อนหินใหญ่ที่ไม่มีเหลี่ยมคม จัดให้มีพื้นที่สำหรับว่ายน้ำได้บริเวณกว้าง มีระบบกรองน้ำที่ดี น้ำไหลเอื่อย ๆ หรือค่อนข้างแรงได้ที่สำคัญที่สุดคือจะต้องปิดฝาตู้ให้มิดชิดกันกระโดดเมื่อนำมาปลาชนิดนี้มาเลี้ยงในตู้ อาหารที่ใช้เลี้ยงจะเป็นสาหร่ายหางกระรอก พุงชะโด ฯลฯ หรือจะเป็นผักชนิดต่าง ๆ ก็ได้ อาทิ กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักกาดหอม ผัก บุ้ง ฯลฯ ใส่แต่พอประมาณเพื่อให้ตอดกิน ปัจจุบันใช้อาหารเม็ดเลี้ยงได้ เมื่อเริ่มต้นเลี้ยงปลาลูโซโซ่ตั้งแต่เล็กจะสังเกตได้ว่าจะมีลักษณะขี้อายและขี้กลัว แต่เมื่อเลี้ยงจนโตแล้วจัดเป็นปลา ที่มีความเชื่องและฉลาดมาก ที่สำคัญจำเจ้าของได้ สามารถทำความคุ้นเคยกับมันป้อนอาหารให้กินกับมือได้อย่างสบาย<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxQ3Qru8YHfzIATgR22kIJYduXuirm7lFF_PoHrOI36sRTs_d1lAgFCW6aF4yEaI-lanuTpOf9XmSnWGuUmZgLtVX62JenQkgVYh2Hkfdixxq5D8KpU3-bEOo8m_UM24X2zxoBc0f6fUU/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%258B%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%258B%25E0%25B9%2588+%2528lusosso%2529.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="211" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxQ3Qru8YHfzIATgR22kIJYduXuirm7lFF_PoHrOI36sRTs_d1lAgFCW6aF4yEaI-lanuTpOf9XmSnWGuUmZgLtVX62JenQkgVYh2Hkfdixxq5D8KpU3-bEOo8m_UM24X2zxoBc0f6fUU/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%258B%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%258B%25E0%25B9%2588+%2528lusosso%2529.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาลูโซโซ่ (lusosso) </span></b></td></tr>
</tbody></table>จากที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นว่าปลาลู โซโซ่มักจะอยู่รวมกันเป็นฝูงในธรรมชาติ เมื่อนำมาเลี้ยงในตู้ควรจะเลี้ยงเป็นฝูงและไม่ควรเลี้ยงเพียงแค่ 2 ตัวเพราะอาจจะกัดทำร้ายกันได้ ปลาชนิดนี้สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่น ๆ ได้ ปัจจุบันราคาซื้อ-ขายปลา ลูโซโซ่ขนาดลำตัวยาวประมาณ 3 นิ้ว ตัวละ 1,000 บาท และจัดเป็นปลาสวยงามที่ได้รับความนิยมเลี้ยงกันมากอีกชนิดหนึ่ง<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-12097744634346756692011-09-17T06:41:00.000-07:002011-09-17T06:41:38.407-07:00ปลาไหลทะเล<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลทะเล</span></b>เป็นสัตว์ที่พบได้ในแนวปะการังอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมักอาศัยอยู่ตามโพรงหิน สามารถขุดโพรงเป็นที่หลบซ่อนตัว และออกมาหากินในเวลากลางคืน ในธรรมชาติอาจพบอยู่ตัวเดียวหรืออยู่เป็นกลุ่มก็ได้ ปลาชนิดนี้จะผสมพันธุ์และวางไข่ในที่มีสาหร่ายหรือหญ้าทะเลที่อุดมสมบูรณ์ <br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลมอเรย์</span></b> เป็นปลาไหลทะเลซึ่งถือเป็นผู้ควบคุมปริมาณสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง ถ้าบริเวณใดไม่พบปลาไหลมอเรย์ หรือพบน้อยมากแสดงว่า จุดนั้นมีปริมาณและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตต่ำโดยเฉพาะพวกกุ้งและปู<br />
<br />
<b>ปลาไหลมอเรย์</b>เป็นหนึ่งในปลาล่าเหยื่อที่สำคัญที่สุด รูปร่างเหมือนปลาไหล ผิวหนังเรียบ หนา ลื่น ไม่มีเกล็ดช่องเหงือกมองเห็นไม่ชัดเจน จุดเด่นคืออวัยวะใช้รับกลิ่นหนึ่งคู่ที่ปลายปาก หน้าตาน่ากลัว มีเขี้ยวแหลม แถมอ้าปากเป็นระยะ แต่ความจริงแล้วนั่นคือส่วนหนึ่งของวิธีการหายใจ มักซ่อนตัวตามซอกโพรงในเวลากลางวัน เมื่ออาทิตย์ตกดินจึงเลื้อยออกมาหาอาหาร ของโปรดคือกุ้งและปู จัดเป็นผู้ล่าสัตว์เล็กมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของแนวปะการังถึงแม้ว่าปลาไหลมอเรย์จะมีรูปร่างที่ดูน่ากลัว แต่ปลากลุ่มนี้จะไม่ดุร้าย โอกาสที่จะโดนกัดมักจะเป็นช่วงผสมพันธุ์หรืออยู่ในโพรงแล้วเรามองไม่เห็นไปจับข้างโพรงจึงจะโดนกัด <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7PEKH9gN8CqeemY3SIwNbCfA5BR5F_a1BLd-o0MxypkJCIIIy0_u0R1Uu1uGL-cckXldppWpjVzCurQbTmekU5kLO63Z4Q8oc6PboqiMztYlUgwC6BwxPr7muomSS-heKyvAThM7jUqk/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="210" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7PEKH9gN8CqeemY3SIwNbCfA5BR5F_a1BLd-o0MxypkJCIIIy0_u0R1Uu1uGL-cckXldppWpjVzCurQbTmekU5kLO63Z4Q8oc6PboqiMztYlUgwC6BwxPr7muomSS-heKyvAThM7jUqk/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%258C.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลเมอเรย์</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลมอเรย์จัดอยู่ในครอบครัว MURAENIDAE ซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิด</span></b> <br />
<br />
1. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลมอเรย์ตาขาว (Greyface moray - Siderea thyrsoidea )</span></b> มีขนาดเล็กบางครั้งสองสามตัวอยู่ในบริเวณเดียวกัน มีลักษณะเด่นคือตาสีขาวเห็นชัด พบทั่วทะเลไทยส่วนใหญ่อาศัยตามกองหิน เช่น หินชุมพร หินใบ รีเชลิว เป็นต้น<br />
<br />
2. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลมอเรย์ยักษ์ (Giant moray - Gymnothorax javanicus)</span></b> จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในปลา กลุ่มนี้ พบในอันดามันบ่อยกว่าอ่าวไทย บางครั้งจะว่ายออกมาหากินข้างนอกโดยเฉพาะตอนกลางคืน เป็นปลาที่ไม่อันตรายหากไม่อยู่ในช่วงผสมพันธุ์<br />
<br />
3. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลมอเรย์จุดขาว (White-spotted moray - Gymnothorax rueppelliae)</span></b> พบเฉพาะในทะเลอันดามัน ส่วนใหญ่เจอแต่กลางคืน บางครั้งออกมาเลื้อยตามปะการังเขากวาง<br />
<br />
4. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลมอเรย์หน้าปาน (Darkspotted moray - Gymnothorax fimbriatus)</span></b> มีลักษณะพฤติกรรมคล้ายกับมอเรย์หัวเหลืองแต่พบบ่อยกว่าในอันดามัน <br />
<br />
5. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลมอเรย์ปานดำ (Black-spotted moray - Gymnothorax tessellata)</span></b> พบตามเรือจมหรือกองหินกลางอันดามันเจอบ่อยที่หมู่เกาะจังหวัดระนอง ไม่ค่อยพบในทะเลแห่งอื่น<br />
<br />
6. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลริบบิ้น (Ribbon moray - Rhinomuraena quesita)</span></b> เป็นหนึ่งเดียวในตระกูลมอเรย์ที่เปลี่ยนเพศได้ เมื่อตอนเด็กจะสีดำยังแยกเพศไม่ออกพอโตขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าและเป็นเพศผู้ พอโตเต็มวัยจะเปลี่ยนเป็นเพศเมียสีเหลือง ปลาชนิดนี้จะอาศัยอยู่ในรูตามพื้นทะเลชายแนวปะการัง ในเมืองไทยพบเฉพาะที่หมู่เกาะสิมิลัน หากินโดยการยืดหัวเข้าออกเพื่อจับปลาขนาดเล็กที่ว่ายผ่านไปมา ที่ปลายหัวจะมีลักษณะเป็นกรวยยื่นออกมาใช้เพื่อจับทิศทางของเหยื่อ<br />
<br />
7. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาไหลลายน้ำตาล (Brown-banded moray Eel - Gymnothorax reticularis Bloch)</span></b> มีลำตัวค่อนข้างกลมเรียวยาวคล้ายงูไม่มีเกล็ด และแบนทางด้านข้างเล็กน้อย ส่วนหัวมนปากกว้าง ครีบหลังและครีบทวารเชื่อมรวมกับครีบหางซึ่งเรียวเล็กตรงปลายแต่ไม่มีครีบหู ขนาดยาวประมาณ 50 เซนติเมตร พื้นผิวลำตัวสีน้ำตาลอ่อน และมีลายคาดสีน้ำตาลเข้ม ตามขวางตามลำตัวเป็นแถบๆ แต้มด้วยจุดสีน้ำตาลขนาดใหญ่เล็กต่างกัน กระจัดกระจายทางด้านบนลำตัวมากกว่าทางด้านล่าง ตากลมสีดำและมีขอบเหลือง พบอาศัยอยู่ตามซอกหินบริเวณแนวปะการัง ขณะว่ายน้ำเอี้ยวตัวไปมามีลักษณะคล้ายงู<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-49859859233148353322011-09-15T02:28:00.000-07:002011-09-15T02:28:55.591-07:00ปลายี่สก<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลายี่สก</span></b>มีเผ่าพันธุ์เชื้อสายเดียวกับปลาตะเพียน เช่นเดียวกับปลาตะโกก ปลากะโห้ ปลานวลจันทร์น้ำจืด และปลาสร้อย ในภาคกลางพบปลายี่สกอาศัยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำราชบุรี แม่น้ำป่าสัก แควน้อย แควใหญ่ ภาคเหนือพบมากที่แม่น้ำน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบในแม่น้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดเชียงราย จังหวัดอุบลราชธานี มีมากในจังหวัดหนองคาย และจังหวัดนครพนม<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ลักษณะรูปร่าง</span></b><br />
<b>ปลายี่สก</b>มีลักษณะเด่นคือ สีของลำตัวเป็นสีเหลืองนวล ลำตัวค่อนข้างกลมและยาว บริเวรด้านข้างมีแถบสีดำข้างละ 7 แถบ พาดไปตามความยาวของลำตัว ลายตามตัวเหล่านี้จะปรากฏในลูกปลาที่มีขนาด 3-50 นิ้ว บริเวณหัวมีสีเหลืองแกมเขียว ริมปากบนมีหนวดสั้น ๆ 1 คู่ มีฟันที่คอหอยเพียงแถวเดียว จำนวน 4 ซี่ เวลากินอาหารทำปากยืดหดได้ เยื่อม่านตามเป็นสีแดงเรื่อ ๆ ครีบหลัง ครีบหู ครีบท้อง ครีบก้น มีสีชมพูแทรกอยู่กับพื้นครีบ ซึ่งเป็นสีเทาอ่อน หางค่อนข้างใหญ่และเว้าลึก ปลายี่สกเป็นปลาขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในจำนวนปลาน้ำจืดด้วยกัน เคยพบในจังหวัดกาญจบุรี ขนาดใหญ่ที่สุดยาว 1.35 เมตร น้ำหนัก 40 กิโลกรัม<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhn14Q8Gd4pQdFQy4IswLli4n5MqeD0pBSzbq1fNsKfTO1Q1UqOQ99VroFVcV1o0mYl_XyvXLwyUaSA7_ZgvlB6yE2P-bKjH_RO3xw12HvbAKdU1SzUEkY-xmYBXrCiZVvnFvLjjfDzqto/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2581.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="219" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhn14Q8Gd4pQdFQy4IswLli4n5MqeD0pBSzbq1fNsKfTO1Q1UqOQ99VroFVcV1o0mYl_XyvXLwyUaSA7_ZgvlB6yE2P-bKjH_RO3xw12HvbAKdU1SzUEkY-xmYBXrCiZVvnFvLjjfDzqto/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2581.jpg" width="291" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลายี่สก</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">อุปนิสัย</span></b><br />
ปลายี่สกชอบอาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ ที่พื้นท้องน้ำมีลักษณะเป็นกรวดทราย ระดับน้ำลึก 5-10 เมตร น้ำเย็นในสะอาด จืดสนิทและเป็นบริเวณที่มีน้ำไหล วังน้ำกว้างและมีกระแสน้ำไหลวน ลูกปลาจะไปรวมกันอยู่เป็นฝูงตามบริเวณที่เป็นอ่าว และพื้นเป็นโคลนหนาประมาณ 10-20 เซนติเมตร พอถึงเดือนตุลาคม ปลาจะเริ่มว่ายทวนขึ้นไปเหนือน้ำเพื่อวางไข่และจะกลับถิ่นเดิมในเดือนพฤษภาคมหรือพอน้ำเริ่มมีระดับสูงขึ้น ปลายี่สกจะพากันไปอาศัยตามห้วยวังที่มีน้ำลึก กระแสน้ำไหลคดเคี้ยว พื้นดินเป็นดินทรายและกรวดหิน เป็นท้องทุ่ง (คุ้ง) หรือวังนัที่กว้างใหญ่ใกล้เขาสงบ น้ำใสสะอาด ลึกตั้งแต่ 5-10 เมตร หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดมา <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpRmGPcnjCt_KM0Ia4958Ae5xGNebhgn1ajKJmmcmJNfeAgiBib_gMXOBAzjeLRD9N7Xgksk4GWSx2TNPEA_uwrA-Mns1ryyF5aE-l_VcRznRKKT8fpdhOTiw-LLzm9aBOw2s9Kmm81kc/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25811.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpRmGPcnjCt_KM0Ia4958Ae5xGNebhgn1ajKJmmcmJNfeAgiBib_gMXOBAzjeLRD9N7Xgksk4GWSx2TNPEA_uwrA-Mns1ryyF5aE-l_VcRznRKKT8fpdhOTiw-LLzm9aBOw2s9Kmm81kc/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25811.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลายี่สก</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ลักษณะของปลายี่สกตัวผู้</span></b> <br />
1. ลำตัวเรียวยาว <br />
2. ขนาดเล็กกว่าปลาตัวเมีย <br />
3. ลักษณะเพศเป็นวงรีเล็ก มีสีชมพูเรื่อ ๆ ในฤดูผสมพันธุ์จะมีน้ำเชื้อสีขาวไหลออกมาเป็นจำนวนมาก <br />
4. มีตุ่มสิว (Pearl spot) ที่บริเวณแก้มและข้างตัวมากกว่าตัวเมีย เมื่อเอามือลูบจะสากมือ<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ลักษณะของปลายี่สกตัวเมีย</span></b><br />
1. ลำตัวอ้วนป้อม ช่องท่องขยายกว้าง <br />
2. ขนาดใหญ่กว่าปลาตัวผู้ <br />
3. ช่องเพศกลมใหญ่ มีสีชมพูปนแดง และแผ่นไขมัน (papillae plate) ขยายเป็นวงล้อมรอบช่องเพศ <br />
4. มีตุ่มสิวเช่นกัน แต่น้อยกว่าปลาตัวผู้<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-15677340458037578952011-09-12T20:51:00.000-07:002011-09-12T20:51:05.301-07:00การเลี้ยง ปลาเสือตอในแหล่งน้ำธรรมชาติ <b>ปลาเสือตอ</b> จะอาศัยอยู่บริเวณน้ำลึกในฤดูร้อนเพื่อวางไข่และย้ายตำแหน่งในฤดูน้ำหลาก ปลาเสือตอขนาดเล็กในแหล่งน้ำธรรมชาติกินอาหารประเภทสัตว์น้ำขนาดเล็กแทบทุกชนิด ส่วนปลาเสือตอขนาดใหญ่ชอบกินกุ้งฝอยและลูกปลา ส่วนปลาเสือตอที่นำมาเลี้ยงในตู้กระจกสามารถฝึกให้กินเหยื่อชนิดอื่น ๆ เช่น เนื้อสัตว์ เนื้อปลา กุ้ง และหนอนมีลเวิร์มแต่ต้องใช้ความพยายามในการฝึกค่อนข้างนานกว่าปลาชนิดอื่น<br />
<br />
วิธีฝึกให้กินเหยื่อ ต้องนำปลาชนิดอื่นที่กินเหยื่อนั้นดีอยู่แล้ว และมีขนาดไล่เลี่ยกับปลาเสือตอฝูงที่จะฝึกมาใส่รวมกันและเลี้ยงด้วยอาหารชนิดนั้น ปลาที่เคยกินเหยื่อจะชักนำให้ปลาเสือตอที่ไม่เคยกินเหยื่อชนิดนั้นแย่งกินเป็นบางครั้ง หากปลาเสือตอคายเหยื่อจะต้องคอยตักออกเมื่อฝึกไปสัก 3-4 สัปดาห์ ปลาเสือตอจะเริ่มคุ้นเหยื่อที่ให้ในระยะแรกหากปลาเสือตอที่ต้องการฝึกยังไม่ยอมกินต้องใช้เหยื่อเป็นคือ ลูกกุ้งฝอย ปลาเล็ก เป็นๆใส่ให้กินแต่น้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาท้องกิ่วตาย<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHktrCEkpICy9YTgoyEmDUWVjpw-eyy7u2tF7Tn-P9H3oMG5Z_le81qg5MwBKbq3zCL3_l5lLYH7jD75kCB92XeaDvCybwGqih0BW6-hQvV-BvrZ7scQhDf5S6_tJfpo3d_YsMLCe4ZDA/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="219" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHktrCEkpICy9YTgoyEmDUWVjpw-eyy7u2tF7Tn-P9H3oMG5Z_le81qg5MwBKbq3zCL3_l5lLYH7jD75kCB92XeaDvCybwGqih0BW6-hQvV-BvrZ7scQhDf5S6_tJfpo3d_YsMLCe4ZDA/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาเสือตอ</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การเพาะขยายพันธุ์ ปลาเสือตอ</span></b><br />
<b>ปลาเสือตอ</b> สามารถวางไข่โดยวิธีธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องใช้การฉีดฮอร์โมนเข้าช่วย ช่วงการวางไข่ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ปลาเสือตอเพศผู้จะมีขนาดโตเต็มวัยเมื่อมีน้ำหนักประมาณ 300-400 กรัม ส่วนปลาเสือตอเพศเมียขนาด 800 กรัมจะได้วัยเจริญพันธุ์<br />
<br />
ไข่ปลาเสือตอเป็นไข่ประเภทลอยน้ำ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5 มิลลิเมตร ใช้เวลาฟักออกเป็นตัวประมาณ 14-17 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิประมาณ 29 องศาเซลเซียส และถุงอาหารจะยุบภายในเวลา 2-3 วัน อาหารที่เหมาะสมของลูกปลาเสือตอวัยอ่อนควรเป็นแพลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็ก เช่นโรติเฟอร์ในระยะ 3-10 วันแรก และใช้ไรแดงเลี้ยงอนุบาลจนได้ขนาด 3 เซนติเมตรขึ้นไป จึงใช้หนอนแดงอาร์ทีเมียขนาดใหญ่หรือลูกปลาขนาดเล็กให้กินเป็นอาหาร<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhutCcymkKsquZihmzhKYK35fjgZ8oLkTrB0JPmHGvKARrQ05JHflT8ZCiNRFbisKA0XWbxBhg7YA_cFyQxa_SUmwkncJw4U34A7T_Zjyw-v5hncYjIaZR0yTQ_SF4US9iUCiLPTFt-Vic/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%258D%25E0%25B9%2588" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="219" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhutCcymkKsquZihmzhKYK35fjgZ8oLkTrB0JPmHGvKARrQ05JHflT8ZCiNRFbisKA0XWbxBhg7YA_cFyQxa_SUmwkncJw4U34A7T_Zjyw-v5hncYjIaZR0yTQ_SF4US9iUCiLPTFt-Vic/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%258D%25E0%25B9%2588" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาเสือตอลายใหญ่</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ตลาด ปลาเสือตอ</span></b><br />
<b>ปลาเสือตอ</b>ที่พบในแหล่งน้ำทางภาคอีสานเป็นปลาเสือตอลายเล็กมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coius Undecimraciatus หรือในชื่อเรียกที่รู้จักในตลาดปลาสวยงามว่า "เสือตอลายเล็ก" พบมากในแม่น้ำโขงแถบจังหวัดหนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ยโสธร ในแม่น้ำมูล มีจำนวนค่อนข้างมาก ราคาซื้อขายขนาดเล็ก 2 นิ้วฟุต ตัวละ 20-50 บาท ปลาเสือตออีกชนิดหนึ่งคือ ปลาเสือตอน้ำกร่อยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coius Quadrifasciatus หรือเรียกว่า "ปลากะพงลาย" เป็นปลาเสือตอที่ลายเล็กที่สุดมีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว พบในแหล่งธรรมชาติตามปากแม่น้ำแทบทุกแห่งทั่วประเทศ จัดเป็นปลาเสือตอที่ราคาถูกที่สุด<br />
<br />
<b>ปลาเสือตอ</b>ชนิดที่นิยมและมีราคาสูงที่สุดในปัจจุบันคือ ปลาเสือตอลายใหญ่และเสือตอลายคู่(ลาย 7 ขีด) ปลาเสือตอทั้ง 2 ชนิดนี้ต้องนำเข้ามาจากประเทศกัมพูชา เป็นปลาที่จับจากแหล่งน้ำธรรมชาติ คือ ทะเลสาบในประเทศเขมรโดยมีพ่อค้าคนกลางเก็บรวบรวม ปลาเสือตอทุกขนาดลำเลียงเข้ามาในประเทศไทยเพื่อขายส่งต่อไปยังต่างประเทศทั่วโลกเป็นสินค้าปลาสวยงามนิ้วละ 60-100 บาท ส่วนปลาเสือตอลายคู่ราคาจะสูงกว่าปลาเสือตอลายใหญ่เกือบ 3 เท่าตัว<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-62623960972041564652011-09-09T08:11:00.000-07:002011-09-09T08:11:44.318-07:00เทคนิคการเลี้ยงปลาอโรวาน่าให้สวยการเลี้ยง<b>ปลาอะโรวาน่า</b>ไม่ให้ตายไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปนัก แต่การที่จะเลี้ยงให้โตเร็วและแข็งแรงผู้เลี้ยงจำเป็นจะต้องศึกษาเทคนิคการเลี้ยงปลาที่ถูกวิธี การเลี้ยงปลาให้โตเร็วมีปัจจัยสำคัญดังนี้<br />
<br />
1.<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">อาหาร</span></b> ควรเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะคุณค่าทางโปรตีนและแคลเซียมซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของปลาโดยตรง ดังนั้นการให้อาหารโดยลูกกุ้งเป็น ๆ ดูจะให้ผลดีที่สุด เนื่องจากน่าจะให้คุณค่าทางอาหารครบถ้วน แมลงสาบไม่ควรนำมาเป็นอาหารปลา เนื่องจากเป็นภาหะนำเชื้อโรคมาสู่ปลาได้และยังอาจนำสารพิษมาสู่ปลาได้ด้วย โดยเฉพาะแมลงสาบที่มีอาการเซื่องซึมไม่ควรนำมาให้ปลากิน เนื่องจากอาจได้รับสารพิษจากยาฆ่าแมลงซึ่งเจ้าหน้าที่ กทม. นำมาฉีดตามท่ระบายน้ำ การให้อาหารด้วยลูกปลาเป็น ๆ ก็มิใช่ว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยเสมอไป เพราะถ้าลูกปลาที่นำมาเป็นอาหารเกิดเป็นโรคระบาดหรือติดเชื้อ ก็อาจทำให้เชื้อโรคมาระบาดในตู้ปลาได้เช่นกัน โดยเฉพาะโรคเห็บ หนอนสมอรวมทั้งโรคครีบเน่าเปื่อย ดังนั้นจึงควรตรวจสอบดูสภาพของลูกปลาก่อนที่จะนำมาเป็นอาหารสำหรับปลาอะโรวาน่าเพื่อความปลอดภัย<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFI9LFtb24k_PC1uB8MBV2GGVBtTgeXs-8WhB9ucVweDDgQse7p1FtdC4n1ej-pKwBZJk_fNCBIhtKPPFDWB-fAjAikyNq6iCS3MdciRaGNfDs8MB6XI6vRgmenP5M08qDKCbnZUvcAV4/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="202" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFI9LFtb24k_PC1uB8MBV2GGVBtTgeXs-8WhB9ucVweDDgQse7p1FtdC4n1ej-pKwBZJk_fNCBIhtKPPFDWB-fAjAikyNq6iCS3MdciRaGNfDs8MB6XI6vRgmenP5M08qDKCbnZUvcAV4/s320/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">เทคนิคการเลี้ยงปลาอโรวาน่า</span></b></td></tr>
</tbody></table>2. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">อากาศ</span></b> ดังที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นว่าอากาศช่วยให้ปลามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ เมื่อปลามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ปลาก็จะกินเก่งและโตเร็ว ดังนั้นภายในตู้ปลาจึงควรเปิดเครื่องปั๊มอ๊อกซิเจนตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้แน่ใจว่าภายในตู้มีอากาศเพียงพอสำหรับปลาเพื่อหายใจ <br />
<br />
3. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">น้ำ</span></b> ความสัมพันธ์ของน้ำที่มีต่อปลาได้อธิบายแล้วในหัวข้อข้างต้นดังนั้นวิธีปฏิบัติที่จะให้ผลดีก็คือท่านควรเปลี่ยนถ่ายน้ำในตู้ทุกเดือน เดือนละ 1-2 ครั้ง โดยการเปลี่ยนถ่ายน้ำในแต่ละครั้งไม่เกิน 20-30เปอร์เซ็นต์ จะสังเกตได้ว่าภายหลังจากที่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำปลาจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFItPxj7gs3jzij5dfoCQBGO0FjRfRY8T9tBY8uwECuoumX3EhSmAKVEf1VUoyXp0MG0skzQ6lUn1opTe1W8uSTs14X5sn2RamrBc0UdgfMRdihsvzRCB_mAnKULCGytS0roFkBB27fz8/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFItPxj7gs3jzij5dfoCQBGO0FjRfRY8T9tBY8uwECuoumX3EhSmAKVEf1VUoyXp0MG0skzQ6lUn1opTe1W8uSTs14X5sn2RamrBc0UdgfMRdihsvzRCB_mAnKULCGytS0roFkBB27fz8/s320/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">เทคนิคการเลี้ยงปลาอโรวาน่า</span></b></td></tr>
</tbody></table>4. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">อุณหภูมิ</span></b> การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำมีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของปลา เพราะถ้าอุณหภูมิของน้ำต่ำเกินไปปลาจะไม่ค่อยยอมกินอาหารและไม่ค่อยว่า ดังนั้นจึงควรรักษาอุณหภูมิของน้ำภายในตู้ปลาให้คงที่สม่ำเสมอ โดยการเปิดไฟตู้ปลา(ควรใช้หลอดเทียมแสงอาทิตย์)ไว้ตลอดเวลาเพื่อรักษา อุณหภูมิของน้ำเพื่อปลาจะได้รู้สึกเป็นปกต<br />
<br />
5. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">สภาพแวดล้อม</span></b> ถ้าหากปลาถูกเลี้ยงไว้ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากเท่าไหร่ ปลาย่อมจะกินเก่งและโตวัยเท่านั้น เนื่องจากปลาไม่ตื่นที่ ปลาที่ตื่นตกใจบ่อยจะไม่ค่อยยอมกินอาหาร ดังนั้นในการเลี้ยงปลาจึงควรหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่จะทำให้ปลาตกใจ6<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8mmsEcUFerPgCZghoKepZ61GKML6yNb5xbQBRTEBNSNqJSY_9nEsztVDMSowM9gTbQV8E2xTP7lSahTu-wctp3zL5TgI6P9tF6SJbfX65CW-c7CJ3hfU9yMLwHjkBwt0nH2dzGJQabd0/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8mmsEcUFerPgCZghoKepZ61GKML6yNb5xbQBRTEBNSNqJSY_9nEsztVDMSowM9gTbQV8E2xTP7lSahTu-wctp3zL5TgI6P9tF6SJbfX65CW-c7CJ3hfU9yMLwHjkBwt0nH2dzGJQabd0/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาอโรวาน่า</span></b></td></tr>
</tbody></table>6. <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">โรคภัย</span></b> โรคภัยที่มาเบียดเบียนปลานับเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ปลาหยุดชะงักการเจริญเติบโต มีอยู่บ่อยครั้งที่ปลาดี ๆ สวย ๆ ต้องหยุดการเจริญเติบโตเนื่องจากถูกโรคภัยเบียดเบียน ดังนั้นจึงควรป้องกันไม่ให้ปลาป่วยเป็นโรคเป็นดีที่สุด<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-56724050138236932652011-09-07T05:42:00.000-07:002011-09-07T05:42:00.296-07:00ปลาวัวมงกุฎ หรือ ปลาวัวจุด<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ชื่ออังกฤษ : Clown Triggerfish</span></b><br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ชื่อวิทยาศาสตร์ : Balistoides conspicillum (Bloch) </span></b><br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;"><br />
ชื่อไทย : ปลาวัวมงกุฎ หรือ ปลาวัวจุด ปลาวัวตัวตลก</span></b><br />
<b><br />
วงศ์ : BALISTIDAE</b><br />
<b>ไฟลั่ม : CHORDATA</b><br />
<br />
ลักษณะนิสัย มีความดุร้าย<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ลักษณะทั่วไป</span></b><br />
รูปร่างค่อนข้างแตกต่าง จากปลาชนิดอื่น ลำตัวป้อม ด้านข้างแบน เป็นรูปไข่เรียวแหลมทางหัวและท้าย นัยน์ตาค่อนข้างเล็ก ปลายแหลม ปากเล็ก ครีบหลังแยกจากกันเป็นสองตอน ตอนหน้าเป็นก้านครีบ เป็นหนามแข็งตั้งขึ้นเป็นรูปสามเหลี่ยม ครีบหูบางใส ครีบหลังตอนท้ายและครีบทวารบางพริ้ว ครีบท้องขนาดเล็ก ครีบหางปลายโค้งเล็กน้อย ขนาดความยาวประมาณ 35 เซนติเมตร พื้นผิวลำตัวและครีบหลังอันหน้าสีน้ำตาลไหม้ กลางหลังมีลายสีเหลืองจุดน้ำตาลแต้ม ปากสีเหลืองส้ม ตามลำตัวส่วนล่างมีจุดสีขาวรูปไข่ขนาดใหญ่แต้มเป็นระยะทั่วไป <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQtRWkZNJQU2-DlUyttA3SlH7_3eOH6bVylwFQ4Gv1dkBRGaPy4FOYwgI8NOxHxCXpVu09hZlQaUDzopXZHBYIIFkooCix0WYZ7mGfT6dNGIy1VsUIywUUGyF3LOkuBWd90TQ9qMv2uII/s1600/Clown+Triggerfish.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="242" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQtRWkZNJQU2-DlUyttA3SlH7_3eOH6bVylwFQ4Gv1dkBRGaPy4FOYwgI8NOxHxCXpVu09hZlQaUDzopXZHBYIIFkooCix0WYZ7mGfT6dNGIy1VsUIywUUGyF3LOkuBWd90TQ9qMv2uII/s320/Clown+Triggerfish.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><div class="MsoNormal"><b><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma","sans-serif"; font-size: 10.0pt; line-height: 115%;"><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาวัวมงกุฎ หรือ ปลาวัวจุด</span> <o:p></o:p></span></b></div></td></tr>
</tbody></table>การแพร่กระจายในประเทศไทย พบได้ทั้งในฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โดยเฉพาะหมู่เกาะสิมิลัน บริเวณที่อยู่อาศัยใกล้พื้นในแนวปะการังที่มีน้ำใส ความลึกประมาณ 15-30 เมตร กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร รวมถึงกัดแทะสัตว์เล็กตามพื้น<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiW6CFAL8neueganZHmCDKe7DsnGzUkcDxtpBE37-EvlofhoCdKminUWHX1oiB8HdkuaHzoa4NExFy5ePbgvLrfNExIXOgXRdOxu64oWYEH6oHhPf03h7Y64XSbhNssMg8v5Bw_sBlP8Tg/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2594.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="223" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiW6CFAL8neueganZHmCDKe7DsnGzUkcDxtpBE37-EvlofhoCdKminUWHX1oiB8HdkuaHzoa4NExFy5ePbgvLrfNExIXOgXRdOxu64oWYEH6oHhPf03h7Y64XSbhNssMg8v5Bw_sBlP8Tg/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2594.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 14px;"><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาวัวมงกุฎ หรือ ปลาวัวจุด</span> </span></b></td></tr>
</tbody></table>ปลาวัวชนิดนี้อาศัยอยู่ตามเกาะแก่งและแนวปะการังฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ที่นักเลี้ยงปลาตู้นิยมและจัดว่าเป็นปลาที่สวยงามที่สุดชนิดหนึ่ง<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_K9Jw-SCvsvWA8lA5MYNsls1hIaLzsa2rO0RKl_o0P6-M5W-pn55iOboQETaqCgHymDct5jrhshLGAPuD1KzVZiD4G4HE1H_nwCBTwv0V3ptFM8Bci1xcC8fj35Qpr05ZXiU4j_e4ct0/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%258E+%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD+%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2594.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="219" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_K9Jw-SCvsvWA8lA5MYNsls1hIaLzsa2rO0RKl_o0P6-M5W-pn55iOboQETaqCgHymDct5jrhshLGAPuD1KzVZiD4G4HE1H_nwCBTwv0V3ptFM8Bci1xcC8fj35Qpr05ZXiU4j_e4ct0/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%258E+%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD+%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2594.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10pt; line-height: 14px;"><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาวัวมงกุฎ หรือ ปลาวัวจุด ปลาวัวตลก</span> </span></b></td></tr>
</tbody></table><br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-74070607517653582502011-09-05T04:39:00.000-07:002011-09-05T04:39:36.168-07:00ปลาปิรันยา<b>ปิรันยา หรือ ปิรันฮา</b> (อังกฤษ: Piranha) เป็นชื่อสามัญเรียกปลาน้ำจืดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวงศ์ย่อย Serrasalmidae ในวงศ์ปลาคาราซิน (Caracidae) โดยทั่วไป ปลาที่ได้ชื่อว่า "ปิรันยา" นั้นจะหมายถึงปลาในสกุล Pristobrycon, Pygocentrus, Pygopristis และ Serrasalmus แต่ก็อาจรวมถึงปลาในสกุล Catoprion ด้วย ส่วนปลาในสกุลอื่นมักไม่นิยมเรียกว่าปิรันยา ถึงแม้จะอยู่ในวงศ์ย่อยนี้ก็ตาม<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาปิรันยา</span></b>กินเนื้อเป็นอาหาร มักอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ พบในแม่น้ำอเมซอน ทวีปอเมริกาใต้ มีฟันที่แหลมคมกินเนื้อของสัตว์ที่ตกลงไปอยู่ใกล้ที่อยู่ของมันเป็นอาหาร แต่ถ้าไม่มีสัตว์อะไรเลยตกลงไปในที่อยู่ของมันมันก็จะกินปลาในแม่น้ำเป็นอาหาร เป็นปลาที่อันตรายชนิดหนึ่ง ที่ทั่วโลกรู้จักดี ชนิดที่ดุร้ายมาก ได้แก่ ปิรันยาแดง (Pygocentrus nattereri) ฯลฯ บางประเทศ เช่น ประเทศไทยห้ามนำเข้า เพราะเกรงจะแพร่ลงสู่แหล่งน้ำและขยายพันธุ์ แต่บางประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่นอนุญาตให้เลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้ แต่ในพื้นถิ่นแล้ว คนพื้นเมืองนิยมกินปลาปิรันยาเป็นอาหาร และปลาปิรันยาเองก็มักตกเป็นอาหารของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น ปลาอะราไพม่า (Arapaima gigas) , นากยักษ์ (Pteronura brasiliensis) , โลมาแม่น้ำอเมซอน (Inia geoffrensis) และนกกินปลาอีกหลายชนิด<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxywXLxWXjZKaKDDtiWQYZxva9bqp-HJsmDHhwBNMRGPniX3Y9oVDseRkO83OI64lkdM9nFqGwFG3xnVRo9qj0F8-kn_yipnn6n4TNrW4XXJk6ktJneHQGTYL3ETqPj_o2SpivsFcP7WE/s1600/Piranha1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="256" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxywXLxWXjZKaKDDtiWQYZxva9bqp-HJsmDHhwBNMRGPniX3Y9oVDseRkO83OI64lkdM9nFqGwFG3xnVRo9qj0F8-kn_yipnn6n4TNrW4XXJk6ktJneHQGTYL3ETqPj_o2SpivsFcP7WE/s320/Piranha1.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาปิรันยา (Piranha)</span></b></td></tr>
</tbody></table>ปลาชนิดอื่นซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับปลาปิรันยา แต่ไม่มีความดุร้ายเท่าและสามารถกินได้ทั้งพืชและสัตว์ คือ ปลาเปคู (Pacu) หรือ ปลาคู้ ซึ่งในประเทศไทยถือเป็นปลาเศรษฐกิจและปลาสวยงามด้วย เช่น ปลาคู้ดำ (Colossoma macropomum) และ ปลาคู้แดง (Piaractus brachypomus) เป็นต้น<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การแพร่กระจายพันธุ์ ปลาปิรันยา</span></b><br />
ปลา ปิรันย่า นั้นพบในลุ่มแม่น้ำอเมซอน: ใน โอริโนโค (Orinoco), ในแม่น้ำของกีอาน่า (Guyana), ในปารากวัย-ปารานา (Paraguay-Parana), และในระบบแม่น้ำเซาฟรังซีสกู (Sao Fransico) มีบางชนิดที่มีการแพร่กระจายเป็นวงกว้าง แต่ในทางตรงข้ามก็มีบางชนิดที่มีการแพร่ะกระจายอยู่ในวงจำกัด. อย่างไรก็ตาม ปิรันย่า ได้เคยถูกนำเข้าไปยังสหรัฐอเมริกา, มีบางครั้งบางคราวที่ถูกพบใน แม่น้ำโปโตแม็ค (Potomac RIver) แต่ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพหนาวจัดของบริเวณนั้น. จนเมื่อไม่นานมานี้ ปิรันย่า ได้ถูกจับได้โดยชาวประมงใน แม่น้ำคาทาวบา (Catawba RIver) ใน North Carolina นี่เป็นกรณีแรกใน North Carolina. ปลาปิรันย่าได้ถูกพบอีกครั้งที่ทะเลสาปแคปไต (Kaptai Lake) ในตะวันออกเฉียงใต้ของบังคลาเทศ<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9-02WcLhaOCMjsB1jTxJCWrZm9HVoKPhvrJaptQULIBsVI-4AHvPwS4-LFJx5Tcw5O8wv49GFEsd9dI8DFu-b5o5SCENMOVoV1Ixo35Nh2l29ImsVX4Qj7Ogh8op7fIJ1aX0PE99dwVU/s1600/Piranha.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="252" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9-02WcLhaOCMjsB1jTxJCWrZm9HVoKPhvrJaptQULIBsVI-4AHvPwS4-LFJx5Tcw5O8wv49GFEsd9dI8DFu-b5o5SCENMOVoV1Ixo35Nh2l29ImsVX4Qj7Ogh8op7fIJ1aX0PE99dwVU/s320/Piranha.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาปิรันยา (Piranha)</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ลักษณะของปลาปิรันย่า</span></b><br />
ลักษณะทั่วไปของปลาปิรันยา มีลำตัวแบนข้าง ส่วนท้องกว้าง บางชนิดมีจุดสีน้ำตาลและสีดำ บางชนิดข้างลำตัวส่วนล่างสีขาว, สีเหลืองและสีชมพู แล้วแต่ละชนิดแตกต่างออกไป<br />
<br />
ปลาปิรันย่า โดยปกติมีขนาดตั้งแต่ 15-25 ซม. (6-10 นิ้ว) ในบางชนิดพบว่ามีขนาดถึง 41 ซม. (24 นิ้ว) เลยทีเดียว<br />
<br />
ปลา ปิรันย่าในสกุล Serrasalmus, Pristobrycon, Pygocentrus, และ Pygopristis สามารถจำแนกได้ง่ายมาก โดยดูจากลักษณะเฉพาะของฟัน. ปลาปิรันย่าทั้งหมด มีฟันที่มีความคมเรียงกันเป็นแถวเดียวบนขากรรไกรทั้ง 2 ข้าง; ฟันเหล่านั้นจะเรียงตัวกันแน่นเป็นระเบียบและเชื่อมต่อกัน เพื่อใช้ในการกัดและฉีกอย่างรวดเร็ว. ฟันที่มีลักษณะเฉพาะของมันจะมีรูปแบบเป็นทรงสามเหลี่ยม คล้ายใบมีด.ฝีปากล่างยื่นออกมายาวมากกว่าริมฝีปากบน แต่เมื่อหุบปากจะปิดสนิทระหว่างกันพอดี ปลาปิรันย่าส่วนใหญ่จะมีฟันเขี้ยวแบบสามเหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่ ยกเว้นในสกุล Pygopristis จะมีฟันเขี้ยวแบบห้าเหลี่ยม และ ฟัน premaxillary มีอยู่ด้วยกัน 2 แถว ซึ่งจะพบได้ในปลาส่วนใหญ่ใน วงศ์ย่อย (Subfamily) Serrasalminaepurinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-40110243409378369182011-09-01T09:32:00.000-07:002011-09-01T09:32:07.633-07:00ปลากะรังหน้างอน หรือ ปลากะรังหงส์<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cromileptes altivelis </span></b><br />
<br />
วงศ์ปลากะรัง (Serranidae) <br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากะรังหน้างอน หรือ ปลากะรังหงส์ </span></b><br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ลักษณะทั่วไป ปลากะรังหน้างอน</span></b><br />
มีรูปร่างหัวเรียวแหลม ปากเล็ก ตาเล็ก ครีบหลังต่อเป็นแผ่นเดียว ลำตัวสีเทาอ่อน แต้มด้วยจุดสีดำกระจายทั่วทั้งตัวและครีบ ขนาด: มีความยาวเต็มที่ 70 เซนติเมตร ใช้เวลาโตเต็มที่ประมาณ 2 ปี น้ำหนักกว่า 2.5 กิโลกรัม <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhkTsdyHc9X76cvgz844Stq5xInQP830ZzYjCGXHYWI80uNIZlWKpbayhjsG6T3HdNa12mMHNmWNuAB-YkVRNHlPfBsx55-c2eU878TrcvriEZ0QV-sOUkBHjvP8cCURl8oEp-IyBcpQU/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="181" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhkTsdyHc9X76cvgz844Stq5xInQP830ZzYjCGXHYWI80uNIZlWKpbayhjsG6T3HdNa12mMHNmWNuAB-YkVRNHlPfBsx55-c2eU878TrcvriEZ0QV-sOUkBHjvP8cCURl8oEp-IyBcpQU/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากะรังหน้างอน หรือ ปลากะรังหงส์ </span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">สี ปลากะรังหน้างอน</span></b> : ลำตัวสีเทาอ่อน พื้นผิวแต้มด้วยจุดสีดำกระจายทั่วทั้งตัวและครีบ ลักษณะลำตัวยาว แบนข้าง หัวด้านหน้าตั้งแต่จุดเริ่มครีบหลังจนถึงปลายจะงอยปากลักษณะโค้งงอนขึ้น ครีบหลังและครีบก้นขนาดใหญ่ หางขนาดใหญ่ปลายกลม ปลาวัยเด็กลำตัวสีขาวสดใส จุดสีดำขนาดใหญ่กระจายตามลำตัว เมื่อมีอายุมากขึ้น พื้นลำตัวเปลี่ยนเป็นสีเทาปนน้ำตาล จุดสีดำขนาดเล้กลงเมื่อเทียบกับขนาดของลำตัว <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiabhX1KH9ZkPV77mDjYbbpOyYO81L5m9EEOiC_jaWzOqzi0dxljV5Dx5XJOQg_SnESD4R3BjNiTQAGm72_OTgMihPSEeTUvTFZRAqirvRa2ChLnMcc7hBCwf31PO7aCl8T7pg0j7tKmcQ/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiabhX1KH9ZkPV77mDjYbbpOyYO81L5m9EEOiC_jaWzOqzi0dxljV5Dx5XJOQg_SnESD4R3BjNiTQAGm72_OTgMihPSEeTUvTFZRAqirvRa2ChLnMcc7hBCwf31PO7aCl8T7pg0j7tKmcQ/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากะรังหน้างอน หรือ ปลากะรังหงส์ </span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">แหล่งที่พบ ปลากะรังหน้างอน </span></b> : การแพร่กระจาย: พบกระจายอยู่ตามชายฝั่งทะเลบริเวณแนวปะการังหรือกองหินที่มีน้ำขุ่น ความลึกตั้งแต่ 2-40 เมตร พบกระจายอยู่ทั่วไปในทะเลจีน, ญี่ปุ่น, ปาปัวนิวกินี, มหาสมุทรอินเดีย, หมู่เกาะนิโคบาร์, ออสเตรเลียตอนเหนือ, ไทย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย<br />
<br />
<b>ถิ่นการกระจายในประเทศไทย</b>: เกาะที่อยู่ไกลชายฝั่ง เช่นเกาะเต่า โลซิน <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5L0LaAc6CnTvAoEiloUGIYDsmpNaEMLj-7NZNc474YvEJ1XN_1xusp39wxEsmyQhoxtmn60S7QtN2D0ekUMsfUFWZ5zqvfW9UCGLSRe9UBgECawsTTTBmPXJUnIuaaEgiIBDiXdxKd-8/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599+%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD+%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5L0LaAc6CnTvAoEiloUGIYDsmpNaEMLj-7NZNc474YvEJ1XN_1xusp39wxEsmyQhoxtmn60S7QtN2D0ekUMsfUFWZ5zqvfW9UCGLSRe9UBgECawsTTTBmPXJUnIuaaEgiIBDiXdxKd-8/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599+%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD+%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%258C.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากะรังหน้างอน หรือ ปลากะรังหงส์ </span></b></td></tr>
</tbody></table><br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">อาหาร</span></b> : สัตว์หน้าดิน เช่น กุ้ง และปู<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-49496718801695670472011-08-30T09:27:00.000-07:002011-08-30T09:27:53.441-07:00ปลาหมอตาล<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาหมอตาล</span></b>เป็นปลาน้ำจืดที่มีความทนทาน อยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง ที่มีกระแสน้ำไม่เชี่ยว เลี้ยงง่าย รสดี พบทั่วไปเฉพาะในนาข้าวหลังการเก็บเกี่ยวเป็นปลากินพืชสามารถเลี้ยงในบ่อได้ ปลาหมอตาลเผือกนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกต่างๆกัน เช่น ปลาอีดัน ปลาใบตาล ปลาวี ปลาจูบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Helostoma temminckii<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">รูปร่างลักษณะ ปลาหมอตาล</span></b><br />
<b>ปลาหมอตาล</b>แบนข้าง ยาวมากกว่ากว้าง ปากเล็กยืดหดได้ ริมฝีปากหนา ริมฝีปากบนและล่างเท่ากัน ฟันละเอียด ตาอยู่เหนือมุมปาก ครีบหลังและครีบก้นมีก้านครีบแข็งและอ่อน ครีบท้องมีก้านครีบแข็ง 5 ซี่ เกล็ดเล็กมีอยู่ที่เส้นข้างตัว 44-48 เกล็ด เส้นข้างลำตัวขาดตอนตรงบริเวณใต้ก้านครีบอ่อนของครีบหลัง ปกติตัวมีสีเทาเงินหรือปนเขียวอ่อน ด้านท้องมีสีจางกว่าด้านหลัง ตัวโตเต็มที่มีความยาวถึง 32.5 เซนติเมตร อยู่ในครอบครัวเดียวกับปลาหมอ คือ Anabantidae ( อะ-นา-แบน-ทิ-ดี้ )<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgX4_WLSp-vtwH8fMFwFqdM24JX4fYwEB8S10-LAuoWpXTK1f7uiX5xOqZ49zsaWjEcKMYUqNlFp_iTJJQXDXGIHIma80qAxsaZVO9A86OUlGYegHfqf4EtG_DYbUtyi3VfY2emRUkIRhs/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="218" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgX4_WLSp-vtwH8fMFwFqdM24JX4fYwEB8S10-LAuoWpXTK1f7uiX5xOqZ49zsaWjEcKMYUqNlFp_iTJJQXDXGIHIma80qAxsaZVO9A86OUlGYegHfqf4EtG_DYbUtyi3VfY2emRUkIRhs/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาหมอตาล</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การเตรียมบ่อเลี้ยง</span></b><br />
<b>ปลาหมอตาล</b>สามารถนำไปเลี้ยงในนาข้าวได้ ระดับน้ำของคูในนาข้าวไม่ต่ำกว่า 30 เซนติเมตร ปล่อยปลาลงเลี้ยงในอัตรา 1 ตัวต่อหนึ่งตารางเมตร การเลี้ยงในตู้กระจกเลี้ยงได้ตั้งแต่ตู้กระจกขนาด 10 ด 15 เซนติเมตรขึ้นไป ปลาที่สมบูรณ์จะเจริญเติบโตไม่ต่ำกว่า 15 เซนติเมตรในระยะเวลา 1 ปี<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjuqCr-xj-CWUSagG6seHJlp6ajNUfdq5U1LexpGl5alUBnQcFEctcjmZtT9FXemREH5PUVkRZmTO3JVFfKf4iVq9bNRKacrO1ZBY2NCGWLGM2rp80EJBj81PvpgCqVO_-aEfNK0H1N8o/s1600/Helostoma+temminckii" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="211" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjuqCr-xj-CWUSagG6seHJlp6ajNUfdq5U1LexpGl5alUBnQcFEctcjmZtT9FXemREH5PUVkRZmTO3JVFfKf4iVq9bNRKacrO1ZBY2NCGWLGM2rp80EJBj81PvpgCqVO_-aEfNK0H1N8o/s320/Helostoma+temminckii" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาหมอตาล</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">อาหารเสริม</span></b><br />
<b>ปลาหมอตาล</b>ชอบกินสาหร่ายและไรน้ำเป็นอาหาร ควรเพาะไรน้ำในบ่อปลาด้วยปุ๋ยคอกในอัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนการปล่อยปลาลงเลี้ยง นอกจากนี้แล้วควรหาผักบุ้งและไร รำให้กินบ้าง<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-54531230061769523492011-08-28T01:35:00.000-07:002011-08-28T01:35:14.360-07:00ปลากระโทงแทง (Billfishes)<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระโทงแทง (Billfishes)</span></b> เป็นชื่อเรียกรวมๆ กันของปลาที่แยกออก ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ <br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">กลุ่มแรก ปลา Swordfish (Xiphias gladius)</span></b> อยู่ในวงศ์ Xiphiidae ปากบนมีลักษณะแบนราบ เมื่อโตเต็มวัยไม่มีเกล็ดหุ้มตัว ไม่พบครีบท้อง ในปากไม่มีฟัน บริเวณด้านข้างคอด หางมีสันนูนเพียงข้างละสันเดียว ขนาดตัวยาวถึง 4.5 เมตร <br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">กลุ่มที่สอง ปลา Spearfishes</span></b> มี 6 ชนิด ในสกุล Tetrapturus ปากบนมีลักษณะกลม มีเกล็ดห่อหุ้มตัว ครีบท้องยาวเรียวแหลมและมีสันนูน 2 สัน ตรงด้านข้างของคอดหาง ครีบหลังยาวมีร่อง พับเก็บได้บนหลัง ครีบหลังสูงพอๆ กับความลึกของลำตัว <br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">กลุ่มสาม คือ ปลา Marlins</span></b> มีด้วยกัน 3 ชนิด ทุกชนิดจัดอยู่ในสกุล Makaira มีลักษณะ เหมือนกับกลุ่มที่สอง และทั้งสองกลุ่มจัดอยู่ในวงศ์ Istiophoridae เช่นเดียว กับปลากระโทงร่ม แต่ต่างออกไป โดยมีครีบหลังตอนหน้าสั้นกว่าความลึก ของลำตัว <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEje3-fl64NLBLfCrSV2wrKJad7JFAXCaNep5yFFHc3zRNbjPS34OsNemnAHzc-szJ2vhBjx4Odaq78ZlsJuOIxT8v4u7Juu2Vo6g3U4br9nnUMPmi4PEF0ICmfcapNQEgDkVAoZ3KguP7Y/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="214" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEje3-fl64NLBLfCrSV2wrKJad7JFAXCaNep5yFFHc3zRNbjPS34OsNemnAHzc-szJ2vhBjx4Odaq78ZlsJuOIxT8v4u7Juu2Vo6g3U4br9nnUMPmi4PEF0ICmfcapNQEgDkVAoZ3KguP7Y/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2587.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระโทงแทง (Billfishes)</span></b></td></tr>
</tbody></table>ลักษณะของปาก <b>ปลากระโทงแทง (Billfishes)</b> ที่ยื่นแหลมออกคล้ายดาบนี้ เชื่อกันว่าใช้แทงปลาที่เป็นเหยื่อหรือบางครั้งเวลาโกรธจัดอาจใช้แทงทะลุเรือของนักตกปลาได้ แต่น่าจะเป็นการปรับตัวให้มีลักษณะเพรียว สะดวกในการว่ายน้ำ ได้รวดเร็วมากกว่า เนื่องจากมันว่ายได้เร็วถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง<br />
<br />
ปลากลุ่มนี้อาศัยอยู่ในท้องทะเลและมหาสมุทรทั่วโลกทั้งในเขตอบอุ่นและเขตร้อน นิสัยชอบเคลื่อนย้ายแหล่งอาศัยอยู่เสมอ ในประเทศไทยพบชุกชุม บริเวณท้องทะเลอันดามันใกล้หมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา ส่วนใหญ่ที่ตก ได้มักเป็นชนิด Markaira indica มีน้ำหนักตัวประมาณ 40-80 กิโลกรัม <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhCAZKqdxnc-DWWlFHWyufMdrNXvxg9rHDlbWWOQgOUYCNbrcLvVc8eUqiS6C3rhiJJxc_i3sGzghtutPLU3nVD9Ft89m2pYTIhIRWTDD4i-euSGTw1VyZ4eXhZWCQlNkMK19ZUV-Gbwc4/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2587+%2528Billfishes%2529.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="251" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhCAZKqdxnc-DWWlFHWyufMdrNXvxg9rHDlbWWOQgOUYCNbrcLvVc8eUqiS6C3rhiJJxc_i3sGzghtutPLU3nVD9Ft89m2pYTIhIRWTDD4i-euSGTw1VyZ4eXhZWCQlNkMK19ZUV-Gbwc4/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2587+%2528Billfishes%2529.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระโทงแทง (Billfishes)</span></b></td></tr>
</tbody></table>อาหารของกลุ่มปลากระโทงแทง ได้แก่ ปลาขนาดเล็กและปลาหมึก ศัตรูในธรรมชาติมีน้อยมากมีเพียงพวกปลาฉลามขนาดใหญ่เท่านั้นที่พบว่ากินปลากระโทงแทงเป็นอาหาร<br />
<br />
ปลากระโทงแทงเคยพบมีชุกชุมในแหล่งตกปลาหลายแห่งของโลก แต่ในระยะหลังเริ่มหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ อาจเนื่องจากการประมงจับปลา ทูน่าหรือปลาโอซึ่งทำเป็นกิจการขนาดใหญ่ ทำให้อาหารในธรรมชาติ ลดลงก็เป็นได้ <br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-18215193283649378092011-08-24T09:59:00.000-07:002011-08-24T09:59:00.749-07:00ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon)<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon)</span></b> ปลากระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาฉลามปากเป็ดหรืออันดับปลาสเตอร์เจียน(Acipenseriformes) อาศัยได้อยู่ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และทะเล เมื่อยังเล็กจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ทะเลสาบหรือตามปากแม่น้ำ แต่เมื่อโตขึ้นจะว่ายอพยพสลงสู่ทะเลใหญ่ และเมื่อถึงฤดูวางไข่ก็จะว่ายกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืด<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon)</span></b> เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า ไข่ปลาคาเวียร์ (Caviar) ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidPUJYzqUb19mGhyphenhyphenMcpAFcLM7Y_buNod-AuTAaLnIIaN7CmP0iFAB8YVZAsPDKn9Bxwzzru79ySo3Vy2Erp5JIQ9dNrtYOe6zuOxH4TEIuPszeSrKuDSsIwQu_U6C0Tunu_Ebh2KahbY0/s1600/72a.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="256" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidPUJYzqUb19mGhyphenhyphenMcpAFcLM7Y_buNod-AuTAaLnIIaN7CmP0iFAB8YVZAsPDKn9Bxwzzru79ySo3Vy2Erp5JIQ9dNrtYOe6zuOxH4TEIuPszeSrKuDSsIwQu_U6C0Tunu_Ebh2KahbY0/s320/72a.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon) </span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ลักษณะ ปลาสเตอร์เจียน</span></b> <br />
มีรูปร่างคล้ายปลาฉลาม มีหนามแหลมสั้น ๆ บริเวณหลังและเส้นข้างลำตัว (Llateral line) มีหนวดทั้งหมด 2 คู่อยู่บริเวณปลายจมูก ปลายหัวแหลม ปากอยู่ใต้ลำตัว หากินตามพื้นน้ำโดยอาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ สเตอร์เจียนจะพบแต่เฉพาะซีกโลกทางเหนือซึ่งเป็นเขตหนาวเท่านั้น ได้แก่ ทวีปเอเชียตอนเหนือ ทวีปยุโรปตอนเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือตอนเหนือ สถานะปัจจุบันของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์เต็มที แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในบางชนิด<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZBJd_Ce_qGqxl617JKuLYLYtEv3SW1grknNtao_qkWFmBGs6gfzSEWQzoxwOd6n3WvNG9y-Hl2GFDp5Bwgc_jO71E5nx5d0xVmKsspO6a5y11_eD2yLJUmKwK9o-hGppbUUtyUxI4dAA/s1600/P00094.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="104" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZBJd_Ce_qGqxl617JKuLYLYtEv3SW1grknNtao_qkWFmBGs6gfzSEWQzoxwOd6n3WvNG9y-Hl2GFDp5Bwgc_jO71E5nx5d0xVmKsspO6a5y11_eD2yLJUmKwK9o-hGppbUUtyUxI4dAA/s400/P00094.jpg" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon)</span></b> </td></tr>
</tbody></table>ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon) มีทั้งหมด 27 ชนิด (Species) ใน 3 สกุล (Genus) โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ <b>สเตอร์เจียนขาว (Huso huso)</b> พบในรัสเซีย สามารถโตเต็มที่ได้ถึง 5 เมตร หนักกว่า 900 กิโลกรัม และมีอายุยืนยาวถึง 210 ปี นับเป็นปลาที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก เท่าที่มีการบันทึกมา และเป็นชนิดที่ให้ไข่รสชาติดีที่สุดและแพงที่สุดด้วย ส่วนชนิดที่เล็กที่สุดคือ <b>สเตอร์เจียนแคระ (Pseudoscaphirhynchus hermanni)</b> ที่โตเต็มที่มีขนาดไม่ถึง 1 ฟุตเสียด้วยซ้ำ<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQb_4D-pdBVjm8qVfafr5hdPzud6cSbv62V9EkQAO5PQJe-8aUusWrlM6KxRX_MrXIgwic8jQt9mcCYjtSXsi5Z9wMwoqdd55thfyebC_2xn_ijKZ2e8u7l2skaNjEMPKtisEuEn9ZbNI/s1600/Huso+huso.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="198" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQb_4D-pdBVjm8qVfafr5hdPzud6cSbv62V9EkQAO5PQJe-8aUusWrlM6KxRX_MrXIgwic8jQt9mcCYjtSXsi5Z9wMwoqdd55thfyebC_2xn_ijKZ2e8u7l2skaNjEMPKtisEuEn9ZbNI/s320/Huso+huso.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;"><span lang="TH" style="font-family: "Tahoma","sans-serif"; font-size: 9.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-language: EN-US; mso-fareast-theme-font: minor-latin;">สเตอร์เจียนขาว (</span><span style="font-family: "Tahoma","sans-serif"; font-size: 9.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-language: EN-US; mso-fareast-theme-font: minor-latin;">Huso huso) </span></span></b></td></tr>
</tbody></table><br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
<br />
นอกจากนี้แล้ว สเตอร์เจียนยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย<br />
จากเว็บ วิกิพีเดียpurinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-52598867433001613032011-08-22T01:51:00.000-07:002011-08-22T01:51:50.412-07:00ปลาน้ำผึ้ง หรืออีดูดชื่อวิทยาศาสตร์ : Gyrinocheilus aymonieri (Tirant, 1883)<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ชื่อสามัญ : Siamese algae eater</span></b><br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ชื่อไทย : ปลาน้ำผึ้ง, ปลาอีดูด</span></b><br />
<br />
<b>ปลาน้ำผึ้ง</b>ในธรรมชาติเป็นปลาขนาดกลาง โตเต็มที่อาจยาวได้ถึง 20 เซนติเมตร มีสีคล้ำกระด่างกระดำ มีเส้นสีดำหนาใหญ่พาดจากดวงตายาวไปจนถึงโคนหางเป็นจุดสังเกตเด่นชัด ส่วนปลาที่นำมาเลี้ยงในตู้คาดว่ามีการพัฒนาสายพันธุ์จนมีสีขาวอมชมพูหวานแหววน่ารักน่าชัง ไม่มีลายคาดดำ และไม่ใหญ่โตนัก (แต่ปลาที่นำไปเลี้ยงในบ่อขนาดใหญ่ มีตะไคร่ให้กินอุดมสมบูรณ์ ปลาก็จะโตได้เต็มที่เท่ากับในธรรมชาติของมันอยู่นั่นเอง)<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivGz_FaJGqsaHlg_P2ZMbE9XRxvNO7NINfl6Yi8mbcfLYTy-VKe_zrtYpsm_WlFz0bLf29oXlXYexsafbiis_NyyLqAGXGiLNKKdTKTd_MJLaJwG77_KtJ7ia9CrIqPmW_qTdCEyeNpfU/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B6%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587+%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2594.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivGz_FaJGqsaHlg_P2ZMbE9XRxvNO7NINfl6Yi8mbcfLYTy-VKe_zrtYpsm_WlFz0bLf29oXlXYexsafbiis_NyyLqAGXGiLNKKdTKTd_MJLaJwG77_KtJ7ia9CrIqPmW_qTdCEyeNpfU/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B6%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587+%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2594.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาน้ำผึ้ง หรืออีดูด</span></b></td></tr>
</tbody></table><b>ปลาน้ำผึ้ง</b> มีรูปร่างยาวทรงกระบอก ปากรูปดูดเหมือนปลาซัคเกอร์ ชอบกินตะไคร่น้ำเหมือนกัน แต่บางทีเผลอๆ ก็แจมอาหารปลากับเขาบ้าง โดยเฉพาะอาหารสดอย่างไส้เดือนน้ำ ปลาน้ำผึ้งไม่นิยมเลี้ยงรวมกับปลาทอง เพราะเป็นปลาเอื่อยอุ้ยอ้าย แถมยังมีเมือกเยอะ ทำให้ปลาน้ำผึ้งชอบเข้าไปรุมตอมดูดเอาเมือกตามผิวหนังของปลาทอจนบางตัวเซ็งถอดใจลอยหงายตุ๊บป่องตายไปเลย <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVP6cMEz94AYXP_D1VrE-RqCi_eBH-_pHp-EONnDz-CH8vsvQovjVbwG9sAH4ypTLdLV3nZQ0vb0Ujs7yNjml0xxcbi33MK0gcq9pdbbxFMDJp2x3y75UeoMMdvVTH-JMpsnVW0NAS79c/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2594.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="218" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVP6cMEz94AYXP_D1VrE-RqCi_eBH-_pHp-EONnDz-CH8vsvQovjVbwG9sAH4ypTLdLV3nZQ0vb0Ujs7yNjml0xxcbi33MK0gcq9pdbbxFMDJp2x3y75UeoMMdvVTH-JMpsnVW0NAS79c/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2594.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาน้ำผึ้ง หรืออีดูด</span></b></td></tr>
</tbody></table>ในตู้ปลาขนาดปานกลางไม่ควรเลี้ยงปลาน้ำผึ้งมากนัก เพราะปลาน้ำผึ้งกินตะไคร่เร็ว และหากไม่มีให้กินแล้วจะซูบผอมจนหัวโตภายในไม่กี่วัน เมื่อหิวมากๆ ก็อาจจะกลายเป็นมาทำร้ายปลาในตู้ที่ว่ายช้าป้องกันตัวเองไม่ค่อยได้จนถึงตาย<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPqXgEOiJmX7k3jMATh7DzQxw0rwwbiiJUsXeT28H_Em3hoYN32R7f2qSQkLYOaQUKB98WEGHhqXcMxhj4FZ8kdkjUYbCck9oA70P-w1k34bFPA-f4DvBf6oK0Zrk2QwbY6xp5Fb8_lic/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B6%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="239" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPqXgEOiJmX7k3jMATh7DzQxw0rwwbiiJUsXeT28H_Em3hoYN32R7f2qSQkLYOaQUKB98WEGHhqXcMxhj4FZ8kdkjUYbCck9oA70P-w1k34bFPA-f4DvBf6oK0Zrk2QwbY6xp5Fb8_lic/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25B6%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาน้ำผึ้ง หรืออีดูด</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การแพร่กระจาย</span></b><br />
ปลาน้ำผึ้งมีการแพร่กระจายตามแหล่งน้ำไหลทั่วไปทั้งในประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชามาเลเซีย และอินโดนีเซีย <br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ข้อดีของปลาน้ำผึ้ง</span></b> กินตะไคร่น้ำได้ดุเดือดดีมาก เป็นเครื่องจักรสังหารตะไคร่ในตู้ชนิดเยี่ยม<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ข้อเสียของปลาน้ำผึ้ง</span></b> ชอบดูดเมือกข้างลำตัวปลาอื่นที่เชื่องช้า เช่น ปลาทอง บางครั้งเล่นไม่เลิกจนปลาทองตายก็มี<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-45364695560605169272011-08-19T19:42:00.000-07:002011-08-19T19:42:21.367-07:00ปลากระดี่มุก<b>ชื่อวิทยาศาสตร์ :</b> <span class="Apple-style-span" style="color: orange;"><b>Trichogaster leerii (Bleeker, 1852)</b></span><br />
<b>วงศ์ :</b> <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">Anabantoids</span></b><br />
<br />
<b>ชื่อไทย :</b> <b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระดี่มุก</span></b><br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ลักษณะทั่วไปของปลากระดี่มุก</span></b><br />
ปลาในชนิดนี้มีอวัยวะพิเศษที่ช่วยในการหายใจ เรียกว่า labyrinth organ เหมือน กับในปลากัด ทำให้สามารถขึ้นมาฮุบอากาศที่ผิวน้ำได้โดยตรง และสามารถอยู่ในบริเวณที่มีออกซิเจนต่ำได้ มีขนาดลำตัวเล็ก คือ ประมาณ 12.5 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีลำตัวค่อนข้างกว้าง แบนข้าง หัวเล็ก นัยน์ตาโต ปากอยู่หน้าสุด ริมฝีปากยืดหดได้ มีฟันบนกระดูกเพดานปาก เส้นข้างตัวไม่สมบูรณ์ ครีบหลังมีก้านครีบแขนงไม่เกิน 10 ก้าน ครีบหลัง และครีบก้นมีขนาดใกล้เคียงกัน ครีบอกบางใส ครีบท้องมีก้านครีบเดี่ยว อันแรกยื่นออกมาเป็นเส้นยาว ครีบหางมีปลายครีบตัดตรง บนลำตัวมีแถบน้ำเงินอ่อนหรือแถบเขียวสลับแดงอมน้ำตาล แถบสีเหล่านี้กระจายไปตามครีบต่าง ๆ ในปลาเพศผู้มีสีสันสดสวยกว่าตัวเมีย เกล็ดบริเวณลำตัวมันวาว สวยงาม กินอาหารประเภทตัวอ่อนแมลง และอาหารมีชีวิตขนาดเล็ก<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2UGRwht75p9gEht2ak_uYy99Fun1umt9Y_hGydnFjMRrIznZmBLIKx3G4f0TepLgM92SgWc3ljZwb1LDZJ4txoEZN9-xMwV9dpAhsqsGlE3hpydUW2WFQgPRxW079wYmKH7gNMn_CDP0/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25811.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="215" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2UGRwht75p9gEht2ak_uYy99Fun1umt9Y_hGydnFjMRrIznZmBLIKx3G4f0TepLgM92SgWc3ljZwb1LDZJ4txoEZN9-xMwV9dpAhsqsGlE3hpydUW2WFQgPRxW079wYmKH7gNMn_CDP0/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25811.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระดี่มุก</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การแพร่กระจายและถิ่นกำเนิด</span></b><br />
มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย และมีอยู่ทั่วไปตามแหล่งน้ำ หนองบึง ลำห้วย ซึ่งมีพืชพันธุ์ไม้น้ำหนาแน่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDnAySC12uWjZ5g21yEZXVizclLEGQXdnJosjexqtip5Kkd8b7ckwt7GpRo6QCrGcdXENFMQ7b-rbeqR2EepWxG1EQflYUiRqfbXWMrBQ53nPNYWNG2t-i6mEmqkNBekQJemWGsIopIhk/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDnAySC12uWjZ5g21yEZXVizclLEGQXdnJosjexqtip5Kkd8b7ckwt7GpRo6QCrGcdXENFMQ7b-rbeqR2EepWxG1EQflYUiRqfbXWMrBQ53nPNYWNG2t-i6mEmqkNBekQJemWGsIopIhk/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581.jpg" width="311" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระดี่มุก</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การขยายพันธุ์</span></b><br />
ก่อหวอดบนผิวน้ำที่มีเงาปกคลุม โดยตัวผู้เป็นผู้ฟักไข่ 2 วัน วางไข่ครั้งละประมาณ 500-2,000 ฟอง<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-84637039090452428262011-08-15T01:09:00.000-07:002011-08-15T01:09:34.113-07:00ปลากระเบนโมโตโร่<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระเบนโมโตโร่</span></b> มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Potamotnygon motoro เป็นปลาน้ำจืดที่มีถิ่นอาศัยอยู่ลุ่มน้ำในแถบประเทศอเมริกาใต้ เช่น บราซิล เปรู โคลัมเบีย ปารากวัย อุรุกวัย โบลิเวีย อาร์เจนตินา เป็นต้น มีขนาดตัวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 40-60 เซนติเมตร ความสวยงามของปลากระเบนโมโตโร่อยู่ที่ลวดลายและโทนสีจำนวนมากบนลำตัวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมากกว่า 20 รูปแบบ ลักษณะเฉพาะของปลากระเบนโมโตโร่ที่แตกต่างจากปลากระเบนสายพันธุ์อื่นอยู่ที่สีพื้นของลำตัว ซึ่งจะเป็นสีโทนน้ำตาล (น้ำตาลเข้ม, น้ำตาลอ่อน,น้ำตาลส้ม) และลวดลายบนลำตัวที่เป็นจุดสีน้ำตาล หรือสีส้ม<br />
<br />
ความนิยมเลี้ยงที่เกิดขึ้นกับปลากระเบนโมโตโร่ ก็ด้วยเพราะว่า เป็นปลากระเบนที่เลี้ยง และดูแลง่ายกว่ากระเบนสายพันธุ์อื่น และมีราคาไม่สูงมากนัก โดยที่ราคาจะอยู่ที่ประมาณคู่ละ 2,500-3,000 บาท (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาด อายุ และความแปลกในลวดลายของปลา) ในขณะที่ปลากระเบนสายพันธุ์อื่นมีราคาซื้อ-ขายที่สูงมาก จึงเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นเลี้ยงปลาชนิดนี้<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVlIQfXLssozjH901TVGdhJtr6_T4tFMgPoTsIJFB1k87tMbqC6oeNIaieaVxV29JyJ4CWjcAc1bXAe8a1Owv32mzhKOMgddfhOJgzgKaZAO8tZwl7O2dH2o-6Tp-TcQzdFbqP-_KMBaA/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%25881.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="143" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVlIQfXLssozjH901TVGdhJtr6_T4tFMgPoTsIJFB1k87tMbqC6oeNIaieaVxV29JyJ4CWjcAc1bXAe8a1Owv32mzhKOMgddfhOJgzgKaZAO8tZwl7O2dH2o-6Tp-TcQzdFbqP-_KMBaA/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%25881.jpg" width="240" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระเบนโมโตโร่</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การเลือกซื้อ ปลากระเบนโมโตโร</span></b><br />
ปลากระเบนโมโตโร่ขนาดที่เหมาะสมต่อการเลี้ยง ควรมีขนาดอย่างน้อย 5 นิ้วขึ้นไป โดยลูกปลากระเบนที่แข็งแรงจะว่ายน้ำหาอาหารที่พื้นตู้ตลอดเวลา ผู้ซื้อควรจะสังเกตว่าปลาตัวนั้น ๆ สามารถจับหาอาหารเองได้หรือไม่ โดยส่วนมากตามร้านค้ามักจะให้ไส้เดือนน้ำที่เกาะกันเป็นก้อน ๆ และค่อย ๆ ดูดกิน ผู้ซื้อควรใช้เวลาสังเกตลูกปลากระเบนสักระยะ สังเกตดูว่าปลากระเบนกินอาหารหรือไม่ โดยอาจจะสังเกตขนาดของกระเพาะอาหารก็ได้ กระเพาะอาหารของปลากระเบน จะอยู่บริเวณใกล้โคนหางที่นูนขึ้นมาก บ่งบอกได้ว่าปลากระเบนตัวนั้นกินอาหารได้ดี ลูกปลาที่สามารถหากินอาหารได้ดีจะมีเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตได้สูง หลังจากเลือกปลากระเบนได้แล้วก่อนที่จะปล่อยปลากระเบนของตู้เลี้ยงต้องนำถุงที่มีปลากระเบนลงแช่ในน้ำที่เตรียมไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงหรืออาจจะใช้วิธีปล่อยปลาลงในภาชนะขนาดใหญ่อย่างเช่น อ่างไฟเบอร์หรือกะละมัง แล้วค่อย ๆ ตักน้ำจากตู้เลี้ยงมาผสม ๆ ทุก ๆ 5 นาที จนกว่าจะเต็มภาชนะแล้วจึงปล่อยปลาพร้อม ๆ กับน้ำในภาชนะนั้นลงไปในตู้เลี้ยงทั้งนี้เพื่อป้องกันปลาช็อคน้ำตายได้<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVupBfrLEUPUkCFlbuc1dv0BcTGUyLzqHe4ktgeXLA6AUmqVRexgtn6hHgCUIHkiukfWx0werN273GamkE1eYjgnhxGpchFYR4xNPNAuCSeXbE9ZCdmpMD4oQ9aBnvupcUNrMtkuym-ag/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2588.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVupBfrLEUPUkCFlbuc1dv0BcTGUyLzqHe4ktgeXLA6AUmqVRexgtn6hHgCUIHkiukfWx0werN273GamkE1eYjgnhxGpchFYR4xNPNAuCSeXbE9ZCdmpMD4oQ9aBnvupcUNrMtkuym-ag/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2588.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระเบนโมโตโร่</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การเลี้ยงดู ปลากระเบนโมโตโร่</span></b><br />
ในกรณีที่เลี้ยงในตู้ สำหรับบ่อไซส์ใหญ่ ขนาดของตู้เลี้ยงควรมีขนาดความยาว 60 นิ้วขึ้นไป กว้างมากกว่า 24 นิ้ว เพื่อให้ปลามีพื้นที่ว่ายน้ำไปมา เพราะปลากระเบนโมโตโร่มีขนาดตัวที่ใหญ่พอสมควรสำหรับในปลาไซส์เล็กขนาด 4-5 นิ้ว ควรใช้ตู้ 4-8 นิ้วขึ้นไป ตู้เลี้ยงควรจะมีฝาปิดมิดชิด เพราะปลากระเบนมักจะว่ายน้ำขึ้นลง แนบกระจกเพื่อหาอาหาร เมื่อประสาทของปลากระเบนรับรู้ถึงตำแหน่งของอาหารมันจะว่ายไปตะครุบเหยื่ออย่างรวดเร็ว ซึ่งหากอาหารนั้นอยู่ริมผิวน้ำและไม่มีฝาตู้ปิดมิดชิด อาจทำให้ปลากระเบนหลุดออกมาจากตู้เลี้ยงได้ โมโตโร่เป็นปลาที่อายุยืนยาวได้นานถึง 20 ปี เพราะฉะนั้นควรเลือกซื้อตู้ใบใหญ่เพื่อรองรับขนาดปลาที่ใหญ่ขึ้น ทั้งนี้โดยปกติปลากระเบนต้องการเนื้อที่ประมาณ 15 เท่าของตัวมันเอง ซึ่งจะทำให้ปลาไม่เครียด เพราะหากปลาเครียดอาจนำโรคภัยตามมาก็ได้ น้ำที่ใช้เลี้ยงต้องใสสะอาด มีออกซิเจนละลายในน้ำที่เพียงพอ ดังนั้นการมีระบบกรองที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงปลากระเบน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปลาเล็กถ้าคุณภาพน้ำไม่ดี ปลาจะเริ่มหยุดกินอาหาร และปลาอาจตายได้ กระเบนโมโตโร่ไวต่อสารเคมีในน้ำมาก เพราะฉะนั้นจึงควรระวังในการใช้ยา และใช้น้ำที่ปราศจากคลอรีน การให้อาหารในปลากระเบนไซส์เล็ก 3-4 นิ้ว ให้กินอาหารที่มีชีวิต เช่น ไส้เดือนน้ำ หนอนแดง กุ้งฝอยขนาดเล็ก ในปลาไซส์ใหญ่ควรฝึกให้กินกุ้งฝอยตาย ปลาหั่นชิ้นหรือกุ้งแกะเปลือก<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-58612403582515563562011-08-10T09:56:00.000-07:002011-08-10T09:56:07.338-07:00ปลากระเบนลายเสือ<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระเบนลายเสือ</span></b> เป็นปลากระเบนน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Himantura oxyrhynchus อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) รูปร่างเหมือนปลากระเบนชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน หางยาว โคนหางมีเงี่ยงแหลมมีพิษ 1 หรือ 2 ชิ้น ที่สามารถงอกใหม่ได้เมื่อหลุดหรือหักไป หางไม่มีริ้วหนัง พื้นลำตัวด้านบนสีน้ำตาลเหลือง กลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ มีจุดดำคล้ายลายของเสือดาวกระจายอยู่ทั่วตัวไปจนปลายหาง อันเป็นที่มาของชื่อ พื้นลำตัวด้านล่างสีขาว หากินตามพื้นท้องน้ำโดยอาหารได้แก่ ปลาขนาดเล็ก, สัตว์หน้าดิน และสัตว์มีเปลือก จะว่ายขึ้นมาหากินบริเวณผิวน้ำบ้างเป็นบางครั้ง มีขนาดประมาณ 40 เซนติเมตร<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirBcFaHCj9oA8JTFgSIAGDdTEX-SPcYR9okaDBqkayL9cdj9nLn7OwVo5xlQe99ZIaCYMGQGMTJrNIZrW768zwRJ8iob6ZgNjKItrrZbz0OEhFMZDRVOnaCg9BObybHKun7lj8sabIH50/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirBcFaHCj9oA8JTFgSIAGDdTEX-SPcYR9okaDBqkayL9cdj9nLn7OwVo5xlQe99ZIaCYMGQGMTJrNIZrW768zwRJ8iob6ZgNjKItrrZbz0OEhFMZDRVOnaCg9BObybHKun7lj8sabIH50/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระเบนลายเสือ </span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากระเบนลายเสือ</span></b>เป็นปลาน้ำกร่อยที่พบอาศัยอยู่ค่อนมาทางน้ำจืด เป็นปลาที่พบน้อย พบได้ตามปากแม่น้ำ เช่น ปากแม่น้ำเจ้าพระยา, ปากแม่น้ำโขง, ทะเลสาบเขมร และพบได้ไกลถึงปากแม่น้ำบนเกาะบอร์เนียวของอินโดนีเซีย เป็นต้น แต่มีรายงานทางวิชาการว่าพบครั้งแรกที่ แม่น้ำน่าน<br />
<br />
เนื่องจากเป็นปลาที่มีลวดลายสวยงามจึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามที่มีราคาแพง แต่มักจะเลี้ยงไม่ค่อยรอดเพราะปลามักประสบปัญหาปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดหรือภาวะแวดล้อมในที่เลี้ยงไม่ค่อยได้<br />
<br />
ปลากระเบนลายเสือมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกว่า "<b>กระเบนเสือดาว</b>", "<b>กระเบนลาย</b>" หรือ "<b>กระเบนลายหินอ่อน</b>"<br />
<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-35539855429420138222011-08-08T00:52:00.000-07:002011-08-08T00:52:41.187-07:00ปลากะทิงไฟ<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ชื่อสามัญ : Fire Spiny Eel </span></b><br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mastacembelus erythrotaenia </span></b><br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ลักษณะทั่วไป ปลากะทิงไฟ</span></b><br />
เป็นปลาน้ำจืดที่อยู่สกุลเดียวกับปลากระทิงดำ รูปร่างคล้ายปลาไหล มีขนาดความยาวประมาณ 20 - 70 เซนติเมตร ลำตัวเรียวยาว และแบนข้าง มีจะงอยปากเป็นติ่งเล็กยื่นออกมาทำหน้าที่รับความรู้สึก พื้นลำตัวสีน้ำตาลเข้ม ข้างลำตัวมีเส้นหรือจุดสีแดงขนาดใหญ่และเล็กเรียงตามความยาวลำตัวบริเวณนัยน์ตาจนถึงโคนครีบหาง ครีบหางและครีบก้นเชื่อมติดกันถึงครีบหลังตอนท้าย ครีบทั้งหมดมีสีแดงสด บริเวณขอบครีบหนังเป็นกระดูกแหลมแข็งสำหรับป้องกันตัวจากศัตรู ครีบหูมีสีดำขอบแดง ลักษณะทางอนุกรมวิธานที่แตกต่างจากปลากระทิงชนิดอื่นคือ ปลากระทิงไฟไม่มีกระดูกที่เป็นหนามแหลมอยู่บริเวณหน้า นัยน์ตา ปลากระทิงไฟที่พบในภาคกลาง จะมีสีแดงสดใสกว่าแหล่งน้ำอื่น <br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEipxWlm2ywd8ln3sdcGh5RzbgBMSQKjYBIPCXXe20NYJkeYposyr1yLDjr1-E6b7-3r_XTCb_71OPerSKzuYQgmUnNiyfwYSYkqc4wm0R078iMmaIB12YXpWNSHk-iVFwh6MS7cnSD7SuY/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%259F.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="188" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEipxWlm2ywd8ln3sdcGh5RzbgBMSQKjYBIPCXXe20NYJkeYposyr1yLDjr1-E6b7-3r_XTCb_71OPerSKzuYQgmUnNiyfwYSYkqc4wm0R078iMmaIB12YXpWNSHk-iVFwh6MS7cnSD7SuY/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%259F.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากะทิงไฟ</span></b></td></tr>
</tbody></table>ในกรณีที่ต้องการเลี้ยงปลากระทิงไฟรวมเป็นฝูง ควรเลือกปลาขนาดใหญ่พอๆกันเพื่อความปลอดภัย และควรจัดซอกมุมหลายๆแห่งเพื่อให้ปลาใช้เป็นที่หลบซ่อนกำบังตัว โดยซอกมุมที่ว่าควรจัดให้มีเพียงพอกับจำนวนปลาที่เลี้ยงเพื่อปลาจะได้ไม่ต้องต่อสู้ชิงที่อยู่กัน โดยโพรงหรือซอกรูที่ว่าอาจใช้หลอดแก้วโปร่งใสมาตั้งวางไว้เฉยๆ เพื่อให้ปลามุดลอด เพื่อเวลาที่ปลาว่ายเข้าไปหลบในโพรงเราจะได้มองเห็นชัดๆ หรือถ้าไม่สนใจเรื่องทัศนียภาพก็อาจใช้ท่อพีวีซี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 1 นิ้วขึ้นไปมาฝังลงในชั้นกรวดเพื่อสร้างเป็นโพรงก็ไม่เลว แต่ไม่ควรใช้ท่อขนาดเล็กกว่านี้เพราะอาจทำให้ปลาถอยกลับตัวออกมาไม่ได้ โดยใช้หินกรวดตกแต่งปิดทับ บริเวณปากทางเข้าไม่ให้เห็นปากท่อก็จะดูเป็นธรรมชาติและประหยัดเงินดีด้วย สำหรับกรวดที่ใช้ควรเป็นกรวดขนาดใหญ่เพื่อป้องกันไม่ให้ปลากระทิงไฟขุดมุดลอดลงไปเป็นขอมดำดินจนทำให้ระบบกรองใต้พื้นกรวดเสียหาย ขณะเดียวกันท่ออ๊อกซิเจนควรเลือกชนิดที่มีตะแกรงปิดเพื่อกันปลาว่ายลอดเข้าไปหลบในท่อจนทำให้ถอยกลับตัวออกมาไม่ได้จนเป็นเหตุให้ปลาตายเพราะอดอาหารในที่สุด <br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUKQzeb2wPbWCbCO4XoCmZaivHpoUqXE-jyXMXosYGsIfhhyq_2Eyo-ifbehEpNtGXSF_n1Rmy0e24BwT-EJd3A6WNF6DF6R3pzJEhP0hMiJ7N8jCe-HM6MWcOIztxDJ8CT8bcI5qwdWA/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%259F1.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="207" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUKQzeb2wPbWCbCO4XoCmZaivHpoUqXE-jyXMXosYGsIfhhyq_2Eyo-ifbehEpNtGXSF_n1Rmy0e24BwT-EJd3A6WNF6DF6R3pzJEhP0hMiJ7N8jCe-HM6MWcOIztxDJ8CT8bcI5qwdWA/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%259F1.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลากะทิงไฟ</span></b></td></tr>
</tbody></table>นอกจากนี้ตู้ควรมีฝาครอบปิดมิดชิดเพื่อกันปลาไถลออกมานอกตู้ หากใช้ตะแกรงหรือมุ้งลวดครอบก็ควรหาของหนักๆ มาวางทับอีกชั้นหนึ่ง เพราะปลากระทิงไฟสามารถใช้ตัวดันตะแกรงและเลื้อยหนีออกมาได้ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานก็จะตายเนื่องจากขาดน้ำขาดอากาศหายใจ และหากต้องการให้ภายในตู้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นก็ควรปลูกประดับด้วยพืชน้ำ แต่ควรฝังรากให้ลึกๆ หน่อย เพราะมิฉะนั้นอาจถูกปลากระทิงไฟขุดทำลายได้ ยิ่งปลากระทิงไฟเป็นปลาที่ขี้อายและขี้ตกใจอยู่แล้ว โดยมากถ้าไม่หิวจริงๆก็จะไม่ยอมปรากฏตัวให้ใครเห็น สำหรับประเภทของอาหารที่ปลากระทิงไฟชอบกินก็ได้แก่ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลูกปลา กุ้งฝอย หนอนแดง ไรทะเล ไส้เดือนน้ำ เป็นต้น จัดว่าเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายเพราะมีความอดทนและสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีอีกชนิดหนึ่ง<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ถิ่นอาศัย :</span></b>ประเทศไทย มีอยู่ในบริเวณน้ำจึดและน้ำกร่อย ในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน ทางภาคใต้ที่ทะเลน้อย (ทะเลสาบสงขลาตอนใน) แม่น้ำตาปี ชาวใต้เรียกชื่อปลานี้ว่าปลากระทิงลายดอกไม้<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-38177464091439067572011-08-06T04:08:00.000-07:002011-08-06T04:08:35.418-07:00การเริ่มต้นเลี้ยงปลาคาร์พ<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การจะเริ่มต้นเลี้ยงปลาคาร์พ </span></b>ควรเริ่มต้นด้วยการขุดบ่อเสียก่อน โดยขุดบ่อให้มีขนาด 80 x 120 ลึก 50 เซนติเมตร มีสะดือที่ก้นบ่อขนาด 1 x 2 ฟุต ลึกประมาณ 4-6 นิ้ว เพื่อไว้เป็นที่สำหรับเก็บขี้ปลาและสิ่งสกปรก และต้องอย่าลืมติดตั้งระบบถ่ายเทบำบัดน้ำเสียเพื่อช่วยให้น้ำในบ่อสะอาดอยู่ตลอดเวลา สำหรับบ่อที่จะใช้<b>เลี้ยงปลาคาร์ฟ</b> ควรเป็นบ่อซีเมนต์เพราะสามารถดัดแปลงเป็นบ่อให้เหมือนธรรมชาติได้ง่ายที่สุด มีตะใคร่น้ำเกิดและเกาะได้เร็ว ซึ่งตะใคร่น้ำนั้นเป็นอาหารที่ดีของปลาและสามารถดูดสิ่งสกปรกที่อยู่ในน้ำได้อีกด้วย <br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">บ่อเลี้ยงปลาคาร์พ </span></b>ควรจะตั้งอยู่ในที่ที่มีร่มเงา หรือใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อที่จะทำให้บ่อปลามีความร่มรื่นพอควร อย่าให้อยู่กลางแจ้งเพราะจะทำให้ปลามีสัสันที่จืดจางลง และเจริญเติบโตช้าลงไปด้วย<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgivTnpu3nKORUlxBNh_Z4EQsJEGZtoSwaevHOi1g5CA-n1Ku6L4-sYkzLuCd9tIfQFcrtuXlVc5p3BtekdiQhpV5EEkcEAubF71S5J3YGMGOp5Xwt9-qlFhPM9LtKneJZYWH3ievacK0g/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%259E" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="256" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgivTnpu3nKORUlxBNh_Z4EQsJEGZtoSwaevHOi1g5CA-n1Ku6L4-sYkzLuCd9tIfQFcrtuXlVc5p3BtekdiQhpV5EEkcEAubF71S5J3YGMGOp5Xwt9-qlFhPM9LtKneJZYWH3ievacK0g/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%259E" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การเลี้ยงปลาคาร์พ</span></b></td></tr>
</tbody></table>ส่วนน้ำที่จะใช้เลี้ยงปลาคาร์พ ควรเป็นน้ำประปาจะดีกว่าน้ำชนิดอื่น เพราะน้ำประปามีสภาพเป็นกลาง ถ้าใช้น้ำฝนจะทำลายสีของปลาและปลาอาจเกิดโรคได้ง่าย ส่วนน้ำจากแม่น้ำลำคลองก็ไม่เหมาะ เพราะอาจมีเชื้อโรคติดมาเป็นอันตรายกับปลาได้ หากไม่มีน้ำประปา ต้องใส่ยาฆ่าเชื้อและเติมปูนขาวเพื่อปรับสภาพน้ำจากกรดให้เป็นกลางเสียก่อน แล้วค่อยนำมาเลี้ยงปลาได้ ทางที่ดีต้องติดตั้งระบบหมุนเวียนของน้ำ และเครื่องพ่นน้ำ เป็นการเพิ่มออกซิเจนให้น้ำในบ่อถ่ายเทอยู่ตลอดเวลา และมีออกซิเจนเพียงพอกับปลาด้วย<br />
<br />
เมื่อเตรียมบ่อและน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การจะหา<b>ปลาคาร์ฟ</b>มาเลี้ยง ควรหาลูกปลาที่มีอายุ 1-2 ปี มาเลี้ยง ไม่ควรจะนำปลาขนาดใหญ่มาเลี้ยง และปลาชนิดอื่นหากไม่จำเป็นไม่ควรนำมาเลี้ยงรวมกับปลาคาร์ฟ เพราะอาจนำเชื้อโรคมาให้ปลาคาร์ฟได้<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC4bMzf3TpGP_epFP4iMVEuKH9DjG5pg0uzMyhoTXNbyfggQt3fFomUldSbv_kzPZpnd82fYtLnGNHs49g0KZCocBjQyaYABy3lHwh5pI9LucKybu5ssGXx-8EDDNDtsT5E11lgR9yduE/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%259E.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="256" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC4bMzf3TpGP_epFP4iMVEuKH9DjG5pg0uzMyhoTXNbyfggQt3fFomUldSbv_kzPZpnd82fYtLnGNHs49g0KZCocBjQyaYABy3lHwh5pI9LucKybu5ssGXx-8EDDNDtsT5E11lgR9yduE/s320/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%259E.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาคาร์พ</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">อาหารและการเลี้ยงดู</span></b><br />
ผู้เลี้ยงควรให้อาหารไม่เกินวันละ 2 เวลา คือเช้ากับเย็น ข้อควรจำในการให้อาหารคือ ต้องให้ตามเวลา เพื่อปลาจะเกิดความเคยชินและเชื่องกับผู้ที่เลี้ยง และอาหารที่ให้ต้องกะให้พอกับจำนวนปลา อย่าให้น้อยหรือมากเกินไป ทั้งนี้ต้องคอยสังเกตว่า ปลากินอาหารอย่างไร? ถ้าอาหารหมดเร็ว แสดงว่าปลายังต้องการอาหารเพิ่ม ก็เพิ่มลงไปอีเล็กน้อย แต่ถ้าอาหารยังลอบน้ำอยู่ ก็รีบตักออกเพราะว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้จะทำให้น้ำเสียเร็ว<br />
<br />
ทั้งนี้ เมื่อสังเกตเห็นน้ำในบ่อเริ่มขุ่นและมีสิ่งสกปรกมาก ต้องรีบเปลี่ยนน้ำทันที และขณะที่ถ่ายน้ำ ออก 1 ใน 3 ส่วนของบ่อจะต้องเพิ่มน้ำใหม่แทนในปริมาณเท่าเดิมโดยใช้น้ำประปาที่เก็บไว้ประมาณ 2-3 วันหลังจากที่คอรีนระเหยแล้ว อย่าใช้น้ำประปาที่รองจากก๊อกใหม่ๆ หรือน้ำประปาที่เก็บไว้นานเพราะจะเกิดอันตรายต่อปลาได้<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-65545064089724852322011-08-03T18:30:00.000-07:002011-08-03T18:30:36.401-07:00หินเทียมเพื่อเพาะเลี้ยงแบคทีเรียอาหารปลาเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบันสำหรับการเลี้ยง<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาสวยงาม</span></b>ในตู้กระจกตามบ้านเรือนทั่วไป ด้วยเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นที่มาของความสุขและเพลิดเพลินเจริญสายตาของผู้เป็นเจ้าของ ขณะเดียวกันทุกวันนี้ตลาดปลาสวยงามก็นับได้ว่ากำลังมาแรงอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นมีการเพาะขายไปยังตลาดต่างประเทศนำเงินรายได้เข้าสู่กระเป๋าเกษตรกรและประชาชาติ ปีหนึ่ง ๆ เป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">การเลี้ยงปลาสวยงาม</span></b>ในตู้กระจก นั้น อดีตมีการนำเอาวัสดุจากสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติโดยเฉพาะจากท้องทะเลมาเป็นเครื่องประดับเติมเต็มความสวยงามให้กับตู้ปลา แต่ปัจจุบันมีการรณรงค์ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลมากขึ้น และหากมีการฝ่าฝืนก็ผิดกฎหมายอีกต่างหาก ขณะที่ความต้องการของนักเลี้ยงปลาในตู้ก็ ยังมีอยู่ไม่ขาดสาย ซึ่งนี่คือที่มาของการคิดค้นสร้างหินเป็นเทียมขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนประกอบ สำคัญของความสวยงามแบบธรรมชาติภายในตู้ปลา<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjISxW294t6cTCxMAlLL8xqEGP0hgG6g21LFB9zwZlVK3LoO7y1QI6_hpqSF7Zp9WfLC3k-NevgsS6o3pjk5jD2CcsAL-nGAU2I-OHeJl656OMrKFmMTzn635Vd8BRzwaQR4sc-Bt8LqEI/s1600/%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25A1.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="217" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjISxW294t6cTCxMAlLL8xqEGP0hgG6g21LFB9zwZlVK3LoO7y1QI6_hpqSF7Zp9WfLC3k-NevgsS6o3pjk5jD2CcsAL-nGAU2I-OHeJl656OMrKFmMTzn635Vd8BRzwaQR4sc-Bt8LqEI/s320/%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25A1.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">หินเทียม</span></b></td></tr>
</tbody></table>ฝ่ายวิจัยการเพาะเลี้ยง สถาบันวิทยาศาสตร์ ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรีได้มีการศึกษาเรื่องนี้และประสบผลสำเร็จจนสามารถนำมาถ่ายทอดให้กับเกษตรกรและผู้สนใจนำไปทำเองได้แล้วในตอนนี้ <br />
<br />
ข้อมูลจากส่วนงานที่กำลังกล่าวถึงนี้ระบุว่า วัสดุที่ใช้เพื่อการทำหินเทียมประกอบด้วย หินปูน หรือทรายหยาบ หรือเปลือกหอยนางรมบดหรือวัสดุที่ใกล้เคียงอย่างใดอย่างหนึ่งผสมรวมกัน 4-5 ส่วน รายการที่ 2 คือ กระบะทรายพร้อมทรายละเอียดที่ซื้อสำหรับทำเป็นแบบ สุดท้ายคือปูน ตัวยึดเหนี่ยวให้วัสดุเชื่อมติดกันตามรูปแบบที่ต้องการ<br />
<br />
ขั้นตอนการทำเริ่มด้วยการนำเอาวัสดุที่กล่าวมามารวมกันคลุกเคล้าให้เข้ากันกับปูนซีเมนต์ โดยใช้ปูน 1 ส่วน จากนั้นผสมน้ำลงไปประมาณ 1/2-1 ส่วน ควรระวังอย่าให้น้ำมากเกินไป จากนั้นผสมกันให้เข้าที่ ขั้นต่อไปก็นำกระบะทรายที่เตรียมไว้สำหรับการทำแบบมาขุดหลุมเป็นขนาดและรูปร่าง ที่ต้องการ แล้วนำส่วนผสมมาหยอดลงในแบบที่ ขุดไว้ บริเวณใดที่ต้องการให้เป็นโพรง ถ้ำ หรือรอยแตกให้ใช้ทรายเป็นตัวกั้นไว้<br />
<br />
ขั้นตอนสุดท้ายคือการเพาะเลี้ยงแบคทีเรียและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนหินเทียม ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญและใช้เวลาค่อนข้างนานซึ่งเปรียบได้กับการทำหินเทียมที่ทำขึ้นให้มีชีวิต คือสามารถใช้ประโยชน์ในด้านการควบคุมคุณภาพน้ำเช่นเดียวกับหินเป็น หลังจากที่นำหินเทียมออกจากแบบแล้วให้นำหินนั้นแช่น้ำจืดและเปลี่ยนน้ำทุกวัน เพื่อให้ปูนหมดความเป็นด่าง ซึ่งจะใช้ เวลาประมาณ 10-15 วัน หากต้องการเร่งให้ใส่ น้ำส้มสายชูผสมลงไปด้วย จะช่วยร่นระยะเวลาให้ เร็วขึ้น<br />
<br />
หลังจากที่หินหมดความเป็นด่างแล้วให้นำมาใส่ในตู้ที่ต้องการเลี้ยงปลาที่ยังไม่มีสัตว์หรือภาชนะอื่น ๆ เติมน้ำทะเลลงไป ใส่อากาศ แล้วใส่แอมโมเนียมคลอไรด์ หรือถ้าหาไม่ได้อาจใช้เนื้อกุ้งหรือเนื้อหอยขนาดตัวเล็ก ๆ จำนวน 1 ตัว ใส่ลงไปทุกอาทิตย์ จะเกิดการเน่าสลายให้แอมโมเนียออกมาเป็นอาหารกับแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียที่ต้องการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนเกาะอยู่บนหินที่ทำขึ้น ในช่วงนี้ให้ทำ การตรวจปริมาณของแอมโมเนียและไนไตรต ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30-40 วัน หินนั้นก็จะมีแบคทีเรียพร้อมที่จะทำงานได้เมื่อนำไปใส่ ในตู้เลี้ยง หากต้องการสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่นสาหร่ายก็สามารถนำเอาสาหร่ายมาผูกติดหรือเกาะบนหิน เมื่อเวลาผ่านไปสาหร่ายก็จะขึ้นปกคลุมหินนั้นทำให้เหมือนกับหินที่ได้มาจากธรรมชาติ<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-56798213380007911522011-07-31T07:28:00.000-07:002011-07-31T07:28:24.231-07:00ปลาสวยงาม ก็เครียดเป็นการเลี้ยงปลาตู้นำมาซึ่งความเพลิด เพลินให้กับผู้เลี้ยง มีรายงานทางการแพทย์ว่าผู้ที่เลี้ยงปลาเป็นสัตว์เลี้ยงมักจะมีสุขภาพจิตที่ ดี ไม่ค่อยประสบปัญหาของความดันโลหิตสูงหรือเกิดอาการเครียด อย่างไรก็ตาม ท่านทราบหรือไม่ว่าผู้เลี้ยงเอง อาจทำให้ปลาอยู่ในภาวะเครียดได้โดยไม่รู้ตัว<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">สาเหตุของความเครียดที่เกิดขึ้นกับปลาเหล่านี้ถูกแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ</span></b> <br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ความเครียดจากสิ่งแวดล้อม</span></b><br />
ปลา เป็นสัตว์เลือดเย็น ดังนั้นอุณหภูมิของร่างกายจะขึ้นกับอุณหภูมิน้ำ ในกรณีที่เลี้ยงปลาในบ่อนอกบ้านหรือกลางแจ้ง ควรจัดบ่อเลี้ยงให้มีร่มเงาบางส่วนหรือมีต้นไม้น้ำเพื่อให้ปลาได้หลบแดดบ้าง หรือติดตั้งเครื่องควบคุมอุณหภูมิน้ำอัตโนมัติหรือ heater ซึ่งมีขายตามร้านขายอุปกรณ์ปลาตู้ นอกจากนั้นคุณภาพของน้ำก็มีความสำคัญเช่นกัน ถ้าท่านใช้น้ำประปาเลี้ยงปลา ควรรองน้ำด้วยภาชนะเปิดแล้วทิ้งไว้ข้ามคืนก่อนใช้และที่สำคัญเช่นกันคือ อุณหภูมิของน้ำที่เปลี่ยนเข้าใส่ตู้ปลาควรใกล้เคียงกับอุณหภูมิของน้ำเดิม<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmyN0iOZBUPjPXJ5J3QGgAja4sPGmQczvTZkCPIjPRHKIwqqA0FU0twXiOQW67MvmQdWQXXaOy-7SKRrhryRdK1_IHInmT9yJ7oKYFG89Pt-gkA3H-0WVWUKUy327e9naYaZlLOTYIz9A/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="198" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmyN0iOZBUPjPXJ5J3QGgAja4sPGmQczvTZkCPIjPRHKIwqqA0FU0twXiOQW67MvmQdWQXXaOy-7SKRrhryRdK1_IHInmT9yJ7oKYFG89Pt-gkA3H-0WVWUKUy327e9naYaZlLOTYIz9A/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาสวยงาม</span></b></td></tr>
</tbody></table>สำหรับท่านที่เริ่มเลี้ยงปลาและใช้อุปกรณ์ที่ซื้อมาใหม่ทั้งหมด เมื่อใส่ปลาลงไปเลี้ยงตู้เพียง 1-2 วัน พบว่าน้ำขุ่น และเมื่อเปลี่ยนน้ำใหม่หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ยังขุ่นอีก ปลาเริ่มทยอยป่วยหรือตาย เชื่อว่าปัญหานี้เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมของตู้ปลาที่ยังไม่ได้ปรับเข้าสู่ ภาวะสมดุล เมื่อวัดระดับแอมโมเนียหรือไนไตรท์ จะพบว่ามีระดับที่สูงกว่าปกติ การแก้ไขทำได้โดยเปลี่ยนถ่ายน้ำออกบางส่วน (50-75%) กำจัดอาหารที่ปลากินใม่หมดหรือให้อาหารลดลง ซึ่งในช่วงนี้ปลามักอยู่ในสภาวะเครียดและไม่ค่อยกินอาหาร<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ความเครียดจากการปฏิสัมพันธ์ของปลาด้วยกันเอง</span></b><br />
ความเครียดประเภทนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและช่วงของการสืบพันธุ์ดังจะเห็น ตัวอย่างจากปลาหมอสี เมื่อยังอายุน้อย เราสามารถเลี้ยงรวมกันได้ แต่เมื่อโตขึ้นมักะจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว มีการกัดกัน ก่อให้เกิดบาดแผลซึ่งต่อมามักจะกลายเป็นแผลติดเชื้อ ส่งผลให้ปลาอ่อนแอและกินอาหารได้น้อยลง โตช้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมปกติของการแบ่งชนชั้นของปลาเหล่านี้ ดังนั้นท่านควรศึกษาข้อมูลเฉพาะของปลาที่เลี้ยงเพื่อนำมาปรับปรุงการเลี้ยง ให้เหมาะสม<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script><br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ความเครียดจากการเลี้ยง</span></b><br />
ผู้เลี้ยงอาจทำให้ปลาอยู่ในภาวะเครียดได้โดยไม่รู้ตัว เช่น ให้อาหารมากเกินไปทำให้อาหารเหลือจนน้ำเน่า แก้ไขโดยการดูดเอาเศษอาหารออก เปลี่ยนน้ำและลดปริมาณอาหาร หากไม่ทราบว่าควรให้อาหารครั้งละเท่าไหร่ให้ท่านทยอยให้อาหารทีละน้อยจนกว่า ปลาจะไม่กินอาหารซึ่งแสดงว่ามันอิ่ม บางครั้งความเครียดอาจเกิดจากการที่เด็ก ๆ ชอบไล่จับปลามาใส่มือเพื่อสัมผัสเล่น นอกจากทำให้ปลาเครียดแล้ว การสัมผัสกับปลา อาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียจากปลาได้ด้วย เพราะแบคทีเรียบางชนิดที่ก่อโรคในปลาสามารถก่อโรคในคนได้ด้วย<br />
การย้ายปลาเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียดเช่นกัน การย้ายปลาในระยะใกล้ ๆ ใช้เวลาน้อย ๆ อาจไม่ยุ่งยากแต่ต้องทำด้วยความนุ่มนวล เพื่อไม่ให้ครีบหรือผิวหนังเกิดบาดแผล เมื่อย้ายไปที่ใหม่ควรหาฝาหรือตาข่ายปิดตู้หรือบ่อไว้ เพราะปลาที่เครียดมัดจะกระโดดออกมานอกตู้ ในกรณีที่ต้องขนย้ายปลาเพื่อเดินทางไหล ควรงดให้อาหารปลาก่อนการขนย้ายอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เพื่อลดการขับของเสียออกจากร่างกาย เนื่องจากของเสียดังกล่าวจะทำให้ระดับแอมโมเนียในน้ำที่เราขนย้ายสูงขึ้นจน เป็นพิษต่อปลาได้ และไม่ควรขนย้ายในวันที่อากาศร้อนจัดpurinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3155350778666995071.post-87784884543180466242011-07-29T01:28:00.000-07:002011-07-29T01:28:15.670-07:00เทคนิคการย้อมสี ปลาออสก้าร์<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">เทคนิคการย้อมสี ปลาออสก้าร์</span></b><br />
นักเลี้ยงหรือนักเพาะพันธุ์<b>ปลาออสก้าร์</b>ทุกราย ย่อมต้องการที่จะให้ปลามีสีสวยสดงดงามกันทั้งนั้น เนื่องจากราคาค่อนข้างสูง ซึ่งทำให้นักเพาะพันธุ์คิดค้นหาวิธีการย้อมสีได้สำเร็จ <br />
<br />
การย้อมสี หมายถึง การใช้ฮอร์โมนเพศไปเร่งสีปลานั่นเอง โดยส่วนใหญ่ที่ใช้คือฮาโลคริสติก ซึ่งก็คือยาฮอร์โมนนั่นเอง โดยมีขายตามร้านขายยาทั่วไป การใช้ก็นำมาคลุกกับอาหารปลาให้ปลากินและนี่ก็เป็นวิธีการเร่งสีปลาให้มันเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าวัยสมควรจะเป็น ซึ่งการย้อมสีนี้แบ่งได้อีกหลายแบบ <br />
<br />
สำหรับการย้อมสีปลาออสก้าร์ ก็ทำได้เช่นเดียวกับปลาปอมปาดัวร์คือ การใช้ไข่กุ้งสดล้างให้สะอาดผสมยาคุมกำเนิดสุภาพสตรี โดยการบดยาให้ละเอียดคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วหมักไว้ 1 วัน หรือมากกว่านี้ก็ได้ แล้วนำไปแช่ทิ้งไว้ในตู้เย็น เพื่อเป็นการช่วยให้ตัวยาจำพวกฮอร์โมนและวิตามินซึมผ่านเข้าไปฝังตัวภายในไข่กุ้ง <br />
<br />
ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เน่าเสียจากตัวยา การให้อาหารจำพวกไข่กุ้งหมักนี้ควรให้ต่อเมื่อปลาออสก้าร์เกิดอาการหิวจัด ๆ ประมาณวันละ 1-2 ครั้ง หรือเพิ่มการให้มากขึ้นกว่านี้ก็ได้<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEin_SphLg2El7Hi6Az6xQ6BgnPVEiso4EEaCSdSjiMx6b6giB8VbjZFOBMmP1b-JMb0yfAqkV0kITifn-a6HgrdGTIrAJc9LgjQS6OsAc3YRrXe0JY-bXQbD3K3wf4aSTR0Y-3ks-sRFNc/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="214" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEin_SphLg2El7Hi6Az6xQ6BgnPVEiso4EEaCSdSjiMx6b6giB8VbjZFOBMmP1b-JMb0yfAqkV0kITifn-a6HgrdGTIrAJc9LgjQS6OsAc3YRrXe0JY-bXQbD3K3wf4aSTR0Y-3ks-sRFNc/s320/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปลาออสการ์</span></b></td></tr>
</tbody></table><b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">ปัญหาโรคปลาออสก้าร์</span></b><br />
ถึงแม้ปลาออสก้าร์เป็นปลาที่มีสีสันสวยงามเพียงใดก็ตาม ย่อมมีโรคเข้ามาแทรกแทรงเช่นกัน ส่วนโรคที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ และมีความสำคัญมากที่สุดก็คือ โรคจุดขาว หรือโรคอี๊ด<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: orange;">วิธีการป้องกันรักษา</span></b><br />
1.การให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะ อย่าให้อาหารมากเกินความต้องการ เพราะเศษอาหารที่ปลากินเหลือจะตกค้างอยู่ภายในตู้ ทำให้เกิดการหมักหมม ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคนี้<br />
<br />
2.ผู้เพาะพันธุ์ควรมีการถ่ายเทน้ำวันละ 2 เวลา เช้า-เย็น แต่ก็ต้องระมัดระวังอุณหภูมิของน้ำด้วย ถ้าอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันก็อาจทำให้เป็นโรคจุดขาวง่ายขึ้น<br />
<br />
3.การใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น คลอแรมเฟนิคอล , เตตร้าซัยคลินควรใส่อาทิตย์ละ 1 ครั้งและผสมเกลือลงไปในน้ำทุกครั้งที่ทำการเปลี่ยนน้ำ โดยใช้ยาปฏิชีวนะประมาณ 3 แคปซูล ใส่กับตู้ปลาขนาด 30ตารางนิ้ว และเติมเกลือป่นหรือเกลือเม็ดประมาณ 1 ต่อ 1,000 ส่วน<br />
<script type ="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-7389783607213172";
/* 468x60, created 10/12/10 */
google_ad_slot = "1668977878";
google_ad_width = 468;
google_ad_height = 60;
//-->
</script><br />
<script type ="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>purinatthhttp://www.blogger.com/profile/11347796434894840421noreply@blogger.com0